คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3716/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้จะฟังเป็นความจริงว่าจำเลยพูดปราศรัยให้ประชาชนฟังและแจกจ้างวานให้ผู้สนับสนุนของจำเลยแจกและปิดประกาศใบปลิวแก่ประชาชนทั่วไป เพื่อจูงใจให้ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนเลือกตั้งให้จำเลย โดยการเสนอให้หรือสัญญาว่าจะให้เงินหรือทรัพย์สินไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมแก่กิจการสาธารณกุศลทั่ว ๆ ไปดังฟ้องก็เป็นกรณีที่จำเลยเสนอจะให้เงินและทรัพย์สินอื่นแก่กิจการสาธารณกุศล เพื่อให้ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งเลือกจำเลยมิได้ห้ามมิให้เลือกโจทก์ โจทก์จึงไม่ได้รับความเสียหายโดยตรงจากการกระทำของจำเลย ถือว่าเป็นการกระทำความผิดต่อรัฐ มิใช่กระทำต่อโจทก์ โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายที่จะมีอำนาจฟ้องจำเลยได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์และจำเลยเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในเขต 1 จังหวัดพิษณุโลกแต่คนละพรรคเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2531 เวลากลางวัน จำเลยพูดปราศรัยให้ประชาชนฟังที่บริเวณมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ พิษณุโลกว่า”หากตนได้รับเลือกเป็นผู้แทนราษฎรของจังหวัดพิษณุโลก จะไม่ขอรับเงินเดือนผู้แทนจำนวน 18,000 บาท โดยจะขอมอบคืนให้ประชาชนสร้างสรรพสิ่งสาธารณประโยชน์แก่ท้องถิ่นจังหวัดพิษณุโลก และจะมอบเงินส่วนตัวให้อีก 12,000 บาท รวมเป็น 30,000 บาท ไว้สำหรับใช้ในกิจการสาธารณกุศลต่อไป นอกจากนี้จะจัดซื้อรถยนต์จำนวน 2 คัน ด้วยเงินส่วนตัวสำหรับไว้ใช้บริการคนเจ็บ คนป่วยและคนตายในยามทุกข์ยาก โดยไม่คิดค่าบริการใด ๆ ทั้งสิ้น” และจำเลยได้แจก จ้างวานให้ผู้สนับสนุนของจำเลยหลายคนแจกและปิดประกาศใบปลิวให้แก่ประชาชนทั่วไปในเขตจังหวัดพิษณุโลก โดยใบปลิวเหล่านั้นมีข้อความทำนองเดียวกับที่จำเลยพูดปราศรัยดังกล่าว เพื่อจูงใจให้ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนเลือกตั้งให้แก่ตนเองทำให้โจทก์และผู้สมัครอื่น ๆ เสียหาย ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522 มาตรา 35, 84
ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้แล้วจึงสั่งงดไต่สวนมูลฟ้องและวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายตามกฎหมาย พิพากษายกฟ้อ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยดังฟ้องแม้จะฟังว่าเป็นความจริง ก็เป็นกรณีที่จำเลยเสนอจะให้เงินและทรัพย์สินอื่นแก่กิจการสาธารณกุศลเพื่อให้ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งเลือกจำเลยมิได้ห้ามมิให้เลือกโจทก์ โจทก์จึงไม่ได้รับความเสียหายโดยตรงจากการกระทำของจำเลย ถือว่าเป็นการกระทำความผิดต่อรัฐ มิใช่กระทำต่อโจทก์ โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายที่จะมีอำนาจฟ้องจำเลยได้ศาลล่างทั้งสองพิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share