คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3712/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในคืนเกิดเหตุจำเลยซึ่งไม่มีอาวุธอะไรติดตัวได้เข้ามาเรียกผู้เสียหายที่หน้าประตูบ้านของผู้เสียหาย ให้ออกมาพูดกันให้รู้เรื่อง ผู้เสียหายไม่ออกไปแต่บอกให้จำเลยกลับไป พรุ่งนี้เช้าค่อยมาพูดกันใหม่ จำเลยก็ไม่กลับ เช่นนี้ แสดงว่าจำเลยมีเจตนาจะมาปรับความเข้าใจกับผู้เสียหายเกี่ยวกับเรื่องจำเลยสอบถามจะซื้อรถเข็นที่ทราบว่าผู้เสียหายจะขาย และข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยไปมาหาสู่บ้านผู้เสียหายบ่อยครั้ง จึงถือได้ว่าผู้เสียหายได้อนุญาตให้จำเลยเข้าออกในที่ดินและบ้านเรือนของผู้เสียหายได้เสมอ ที่ผู้เสียหายบอกให้จำเลยกลับบ้านไปพรุ่งนี้ค่อยมาพูดกัน มิใช่หมายความว่าผู้เสียหายไล่จำเลยออกไปจากที่ดินและบ้านเรือนของผู้เสียหายเป็นเพียงแต่ผู้เสียหายขอให้จำเลยเลื่อนไปพูดจาปรับความเข้าใจกันในวันรุ่งขึ้นเท่านั้นจำเลยจึงมีเหตุอันสมควรที่จะเข้าไปในที่ดินและเคหสถานของผู้เสียหาย ไม่มีความผิดฐานบุกรุก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้อง่า จำเลยมีอาวุธมีดพร้างอติดตัวบุกรุกเข้าไปในที่ดินบริเวณบ้านเรือน ซึ่งเป็นเคหสถานของผู้เสียหายกับภรรยาโดยไม่มีเหตุอันสมควรและร้องท้าทายให้ผู้เสียหายออกมาต่อสู้กัน อันเป็นการรับกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของผู้เสียหายโดยปกติสุข ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖๒, ๓๖๔, ๓๖๕
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖๕ (๓) จำคุก ๑ ปี และปรับ ๒,๐๐๐ บาท โทษจำคุกให้รอไว้มีกำหนด ๒ ปี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า เมือวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๒๘ เวลาประมาณ ๑๗ นาฬิกา ผู้เสียหายกับจำเลยได้ทะเลาะโต้เถียงกันเกี่ยวกับจำเลยไปสอบถามผู้เสียหายเรื่องผู้เสียหายบอกขายรถเข็นต่อหน้านายอ้วนซึ่งเป็นเจ้าของโรงเผาถ่านที่ผู้เสียหายเป็นลูกจ้างอยู่ และรอเข็นของนายอ้วนถูกคนร้ายลักไปแล้วผู้เสียหายกับจำเลยต่างคนต่างก็กลับบ้านของตน ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยมีว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีผู้เสียหายกับนางบุญชิดภริยาผู้เสียหายมาสืบได้ความว่า ในคืนเกิดเหตุเวลาประมาณ ๒๐ นาฬิกา ขณะผู้เสียหายกับนางบุญชิดภริยานั่งอยู่ในบ้านซึ่งปิดประตูหน้าต่างหมดแล้วได้ยินเสียงสุนัขเห่า ผู้เสียหายจึงดับตะเกียงแล้วมีเสียงคนมาเรียกที่หน้าประตูบ้านให้ผู้เสียหายออกไปพบ ผู้เสียหายแอบดูตรงช่องที่ฝาข้างประตูบ้านเห็นจำเลยถือมีดพร้างอยืนอยู่ห่างประตูบ้านประมาณ ๑ คืบ มองเห็นด้วยแสงของดวงจันทร์ ผู้เสียหายบอกให้จำเลยกลับไป จำเลยไม่ยอมกลับ นางบุญชิด จำเสียงคนที่เรียกผู้เสียหายได้ว่าเป็นจำเลย จากนั้นผู้เสียหายเอาเสื้อพาดบนแผ่นกระดานทาบไว้ที่ขอบประตูแล้วเปิดประตูออก จำเลยก็ใช้มีดพร้าฟันมาที่เสื้อและไม้กระดานที่พาดเสื้อทันที ผู้เสียหายแกล้งร้องโอย จำเลยจึงเดินออกจากหน้าประตูบ้านผู้เสียหายไป นางบุญชิดภริยาผู้เสียหายจึงไปแจ้งความต่อสิบตำรวจเม่นว่าจำเลยบุกรุกเข้ามาใช้มีดพันประตูบ้าน เห็นว่าในคืนเกิดเหตุเป็นวันขึ้น ๑๑ ค่ำ ดวงจันทร์เกือบเต็มดวง และขณะเกิดเหตุก็เป็นเวลาประมาณ ๒๐ นาฬิกา ซึ่งดวงจันทร์ขึ้นมาสูงพอสมควรแล้ว ทั้งไม่ปรากฏจากการนำสืบของโจทก์และจำเลยว่า ในคืนนั้นท้องฟ้ามืดครึ้มด้วยเมฆฝนดังนั้นแสงของดวงจันทร์จึงมีความสว่าง ประกอบกับหน้าบ้านของผู้เสียหายหันไปทางทิศใต้ปรากฏตามแผนที่เกิดเหตุเอกสารหมาย จ.๒ ดวงจันทร์ซึ่งขึ้นอยู่ทางทิศตะวันออก แสงของดวงจันทร์ย่อมส่องสว่างถึงบริเวณหน้าบ้านของผู้เสียหาย ถึงแม้ผู้เสียหายจะยืนยันว่าหน้าบ้านของผู้เสียหายมีต้นมะพร้าว ต้นขนุน มีใบคลุมอยู่ที่บริเวณหน้าบ้าน แต่ก็ไม่ปรากฏว่าใบของต้นไม้ดังกล่าวคลุมมาถึงประตูหน้าบ้าน จำเลยยืนอยู่ห่างประตูหน้าบ้านของผู้เสียหาย เพียงประมาณ ๑ คืบเศษ ซึ่งอยู่ใกล้ชิดกับช่องที่ผู้เสียหายแอบดูอยู่ข้างประตูและผู้เสียหายกับจำเลยรู้จักกันมาก่อนเพราะจำเลยเคยไปมาที่บ้านผู้เสียหายบ่อย นอกจากนี้สืบตำรวจเอกเม่นผู้รับแจ้งความจากนางบุญชิดภริยาผู้เสียหายในคืนเกิดเหตุนั้นเองได้เบิกความสอดคล้องกับนางบุญชิดว่า นางบุญชิดมาแจ้งความระบุว่าจำเลยบุกรุกเข้าไปที่บ้านผู้เสียหาย จึงเชื่อว่าผู้เสียหายกับนางบุญชิดภริยาผู้เสียหายจำคนที่มาเรียกผู้เสียหายอยู่ที่ประตูบ้านได้ว่าเป็นจำเลย แต่ที่ผู้เสียหายเบิกความอ้างว่าเห็นจำเลยถือมีดพร้างอมาด้วยและได้ใช้มีดพร้าพันถูกประตูมีรอย ๒ แผล ซึ่งผู้เสียหายได้ชี้ให้พนักงานสอบสวนดูในวันไปทำแผนที่เกิดเหตุ และฟันถูกเสื้อกับไม้กระดานที่ผู้เสียหายใช้ล่อหลอกจำเลยด้วยนั้น เห็นว่า ตามคำร้อยตำรวจเอกเลอสันต์พนักงานสอบสวนที่ไปตรวจดูที่เกิดเหตุได้ยืนยันว่า พยานตรวจดูตรงขอบประตูโดยละเอียดแล้วไม่เห็นมีร่องรอยถูกมีดฟัน พยานได้สอบถามหาไม้และเสื้อผ้าที่ถูกฟัน ผู้เสียหายก็ไม่ได้นำมาแสดงให้ดู ดังนี้ จึงไม่น่าเชื่อว่าจำเลยมีมีดพร้างอมาด้วย และใช้มีดฟันขอบประตูและเสื้อผ้ากับไม้กระดานดังที่ผู้เสียหายกับนางบุญชิดภริยาผู้เสียหายเบิกความข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าจำเลยซึ่งไม่มีอาวุธอะไรได้เข้ามาเรียกผู้เสียหายที่หน้าประตูบ้านของผู้เสียหายในคืนเกิดเหตุ แต่ข้อความที่จำเลยเรียกผู้เสียหายกับคำพูดโต้ตอบระหว่างจำเลยกับผู้เสียหายนั้น นางบุญชิดภริยาผู้เสียหายเบิกความว่า จำเลยพูดว่า เธียร ๆ ออกมาพูดกันให้รู้เรื่อง ผู้เสียหายไม่ออกไป แต่บอกให้จำเลยกลับไป พรุ่งนี้เช้าค่อยมาพูดกันใหม่ จำเลยก็ไม่กลับ เช่นนี้ แสดงว่าจำเลยมีเจตนาจะมาปรับความเข้าใจกับผู้เสียหายเกี่ยวกับเรื่องจำเลยสอบถามจะซื้อรถเข็นที่ทราบว่าผู้เสียหายจะขายซึ่งสืบเนืองมาจากผู้เสียหายกับจำเลยทะเลาะโต้เถียงกันเมื่อเวลาประมาณ ๑๗ นาฬิกา ก่อนเกิดเหตุและตามคำนางบุญชิดภริยาผู้เสียหายยังได้ความต่อไปว่าจำเลยเคยไปมาหาสู่บ้านผู้เสียหายบ่อยครั้ง จึงถือได้ว่าผู้เสียหายได้อนุญาตให้จำเลยเข้าออกในที่ดินและบ้านเรือนของผู้เสียหายได้เสมอ ที่ผู้เสียหายบอกให้จำเลยกลับบ้านไปพรุ่งนี้ค่อยมาพูดกัน ก็มิใช่หมายความว่าผู้เสียหายไล่จำเลยออกไปจากที่ดินและบ้านเรือนของผู้เสียหาย เป็นเพียงแต่ผู้เสียหายขอให้จำเลยเลื่อนไปพูดจาปรับความเข้าใจกันในวันรุ่งขึ้นเท่านั้น จึงเห็นได้ว่าจำเลยมีเหตุอันสมควรที่จะเข้าไปในที่ดินและเคหสถานของผู้เสียหาย จำเลยมิได้มีเจตนาเข้าไปรบกวนครอบครองที่ดินและเคหสถานของผู้เสียหายแต่ประการใด จำเลยจึงไม่มีความผิดตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์

Share