คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3711/2529

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์นำรถยนต์มาจดทะเบียนประกอบการขนส่งและเสียภาษีตามพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. 2522 รถยนต์ของโจทก์จึงได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีรถยนต์ตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ คงต้องเสียภาษีรถยนต์ตามพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. 2522 ต่อไปตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 71 วรรคสองแห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ส่วนคำว่ารถที่จดทะเบียนใหม่ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 86 วรรคสองนั้น หมายถึงรถยนต์ที่นำมาจดทะเบียนใหม่กับกรมการขนส่งทางบกเป็นครั้งแรก มิได้หมายความต้องเป็นรถยนต์ใหม่ที่ยังไม่เคยจดทะเบียนมาก่อน และตามมาตรา 167 วรรคแรกที่บัญญัติว่ารถที่ได้เสียภาษีตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ไว้แล้วก่อนที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ และยังไม่ถึงกำหนดเสียภาษีครั้งถัดไป ให้ได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีตามพระราชบัญญัตินี้จนกว่าจะครบกำหนดเวลาที่ได้เสียภาษีไว้นั้น มีความหมายเพียงว่ารถยนต์ที่ได้เสียภาษีตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ไว้แล้วและยังไม่ครบกำหนดเวลาที่ได้เสียภาษีไว้ ระหว่างนั้นเจ้าของรถได้นำรถไปจดทะเบียนประกอบการขนส่งตามพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. 2522 ก็ให้ได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีตามพระราชบัญญัติการขนส่งทางบกเท่านั้น ไม่มีข้อความให้อำนาจกรมการขนส่งทางบกเรียกเก็บภาษีย้อนหลังหรือที่ค้างชำระตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ได้ด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อต้นเดือนเมษายน ๒๕๒๕ โจทก์ได้ซื้อรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคลมาคันหนึ่ง ซึ่งทะเบียนรถดังกล่าวอยู่ในความควบคุมของกองทะเบียนกรมตำรวจ หลังจากที่โอนมาแล้วโจทก์ได้นำไปโอนกรรมสิทธิ์ทางทะเบียนและเสียภาษีให้ถูกต้องที่กรมการขนส่งทางบก จำเลยที่ ๒ ตามพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก จำเลยที่ ๒ ให้โจทก์เสียภาษีรวมเป็นเงิน ๙,๗๖๘ บาท โจทก์เห็นว่าไม่ถูกต้องและเป็นธรรมจึงมีหนังสือแจ้งให้จำเลยที่ ๒ ทราบ จำเลยที่ ๑ ในฐานะลูกจ้างของจำเลยที่ ๒ ปฏิบัติหน้าที่ในทางการที่จ้างสั่งการโดยแจ้งให้โจทก์ทราบว่า การเก็บภาษีของจำเลยที่ ๒ ถูกต้องแล้ว เพราะโจทก์มีหน้าที่ตามกฎหมายจะต้องนำรถยนต์มาจดทะเบียนชำระภาษีตั้งแต่กฎหมายมีผลบังคับ แต่ละเลยไม่ชำระภาษีมาแต่ต้น โจทก์เกรงว่าหากไม่ชำระภาษีก็ไม่สามารถนำรถยนต์ออกใช้งานได้และอาจถูกจำเลยที่ ๒ เรียกเก็บภาษีเป็นค่าปรับอีก จึงได้นำเงิน ๙,๗๖๘ บาท ไปชำระให้แก่จำเลยที่ ๒ โจทก์เห็นว่าแม้จะมีพระราชบัญญัติการขนส่งทางบกประกาศใช้บังคับแล้ว แต่ขณะนั้นโจทก์ยังไม่ได้เป็นเจ้าของรถยนต์และไม่ได้นำออกใช้งาน ผู้เสียภาษีจะเสียภาษีต่อเมื่อได้รับอนุญาตให้ประกอบการขนส่งเสียก่อน โจทก์เพิ่งได้รับอนุญาตให้เป็นผู้ประกอบการขนส่งเมื่อเดือนเมษายน ๒๕๒๕ จำเลยจึงมีสิทธิเรียกเก็บภาษีจากโจทก์ได้เป็นเงิน ๑,๘๐๐ บาท จำเลยที่ ๒ จะต้องคืนภาษีให้แก่โจทก์ ๘,๑๖๘ บาท โจทก์ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการติดตามขอรับเงินคืนจากจำเลยเป็นเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท จำเลยทั้งสองต้องร่วมกันรับผิดชำระเงินจำนวน ๑๘,๗๔๘ บาทพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ขอบังคับให้ชำระ
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ ๑ เป็นข้าราชการสังกัดจำเลยที่ ๒ ไม่ใช่ลูกจ้างนายจ้างกันแต่อย่างใด จึงไม่ต้องร่วมกันรับผิดในฐานะนายจ้างลูกจ้าง โจทก์เป็นเจ้าของรถยนต์ตามพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔,๑๖๙ และตามพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๓ มาตรา ๓, ๙ ได้เสียภาษีครั้งสุดท้ายสิ้นสุดเมื่อวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๒๒ และไม่ปรากฏว่าหยุดใช้งานหรือแจ้งซ่อมรถ และยังไม่เคยผ่านการตรวจสภาพรถมาก่อน จำเลยจึงต้องจัดชั่งน้ำหนักใหม่ เพื่อคำนวณภาษีตามกฎหมาย และเริ่มเก็บภาษีตั้งแต่งวดต่อจากวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๒๒ ตามพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ ไม่ได้กำหนดว่าจะต้องได้รับอนุญาตประกอบการขนส่งเสียก่อนจึงจะจดทะเบียนชำระภาษีได้ โจทก์มีหน้าที่เสียภาษีย้อนหลังไปโดยเริ่มนับแต่วันเสียภาษีครั้งสุดท้าย จำเลยจึงเรียกเก็บภาษีถูกต้องแล้ว หาใช่กลั่นแกล้งโจทก์ไม่ ค่าใช้จ่ายสูงไปและเคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยที่ ๒ ใช้เงินให้โจทก์จำนวน ๗,๙๓๒ บาทพร้อมดอกเบี้ย ให้ยกฟ้องจำเลยที่ ๑
โจทก์และจำเลยที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วพิพากษาแก้ ให้จำเลยที่ ๒ ใช้เงินให้โจทก์จำนวน ๖,๗๖๘ บาทพร้อมดอกเบี้ย
โจทก์และจำเลยที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาที่ว่าจำเลยที่ ๒ เรียกเก็บภาษีรถยนต์ของโจทก์ถูกต้องหรือไม่โดยเห็นว่า นอกจากพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๗๑ วรรคสอง จะบัญญัติว่า รถที่ใช้ในการขนส่งที่เสียภาษีตามพระราชบัญญัตินี้แล้ว ให้ได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีรถยนต์ตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์แล้ว ตามมาตรา ๘๖ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ยังบัญญัติว่ารถที่จะทะเบียนใหม่ในงวดใด ให้ชำระภาษีตั้งแต่งวดนั้นเป็นต้นไป โจทก์นำรถมาจดทะเบียนประกอบการขนส่งและเสียภาษีตามพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ รถของโจทก์จึงได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีรถยนต์ตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ คงต้องเสียภาษีรถยนต์ตามพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ ต่อไปเท่านั้น ที่จำเลยที่ ๒ ฎีกาว่า รถที่จดทะเบียนใหม่ตามมาตรา ๘๖ วรรคสอง หมายถึงรถใหม่ที่ยังไม่เคยจดทะเบียนมาก่อน รถของโจทก์เป็นรถเก่าและเคยจดทะเบียนต่อกองทะเบียน กรมตำรวจมาแล้ว ต้องเสียภาษีตามมาตรา ๑๖๗ และจำเลยที่ ๒ เรียกเก็บภาษีถูกต้องแล้วนั้น เห็นว่าคำว่ารถที่จดทะเบียนใหม่ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๘๖ วรรคสองนั้น หมายถึงรถที่นำมาจดทะเบียนใหม่กับจำเลยที่ ๒ หรือจดทะเบียนกับจำเลยที่ ๒ เป็นครั้งแรกเท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าต้องเป็นรถใหม่ที่ยังไม่เคยจดทะเบียนมาก่อนแต่อย่างใด ทั้งได้พิเคราะห์มาตรา ๑๖๗ วรรคแรกแห่งพระราชบัญญัติการขนส่งทางบกพ.ศ. ๒๕๒๒ ที่จำเลยที่ ๒ อ้างแล้วก็เพียงแต่บัญญัติว่า รถที่ได้เสียภาษีตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ไว้แล้วก่อนที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ และยังไม่ถึงกำหนดเสียภาษีครั้งถัดไป ให้ได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีตามพระราชบัญญัตินี้จนกว่าจะครบกำหนดเวลาที่ได้เสียภาษีไว้บทบัญญัติดังกล่าวมีความหมายแต่เพียงว่ารถที่ได้เสียภาษีตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ไว้แล้วและยังไม่ครบกำหนดเวลาที่ได้เสียภาษีไว้ ระหว่างนั้นเจ้าของรถได้นำรถไปจดทะเบียนประกอบการขนส่งตามพระราชขบัญญัติการขนส่งทางบกพ.ศ. ๒๕๒๒ ก็ให้ได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีตามพระราชบัญญัตินี้จนกว่าจะครบกำหนดเวลาที่ได้เสียภาษีตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์เท่านั้น ไม่มีข้อความให้อำนาจจำเลยที่ ๒ เรียกเก็บภาษีย้อนหลังหรือที่ค้างชำระตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ได้เลย ที่จำเลยที่ ๒เรียกเก็บภาษีรถยนต์ของโจทก์ที่ค้างชำระตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ก่อนที่โจทก์จะนำรถมาจดทะเบียนกับจำเลยที่ ๒ จึงไม่ถูกต้อง จำเลยที่ ๒ ต้องคืนเงินค่าภาษีที่เรียกเก็บเกินมาดังกล่าวให้โจทก์
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๒ คืนเงินค่าภาษีจำนวน ๗,๓๖๘ บาทให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ย

Share