คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3710/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยมอบกัญชาให้ผู้อื่นยืมไปใช้ปรุงอาหาร ถือได้ว่าเป็นการจำหน่ายยาเสพติดให้โทษ ตามความหมายในมาตรา 4 วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 ย่อมมีความผิดตามมาตรา75 วรรคแรก.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเสพกัญชา มีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และจำหน่ายกัญชาโดยมิได้รับอนุญาต ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 26, 57, 75, 76,92, 102 ริบของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ ข้อหาเสพกัญชาและมีกัญชาไว้ในครอบครองแต่ปฏิเสธข้อหามีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายกัญชา
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 26, 57, 76 วรรคแรก, 92 เรียงกระทงลงโทษข้อหาเสพกัญชา จำคุก 2 เดือน ปรับ 1,000 บาท ข้อหามีกัญชาไว้ในครอบครองจำคุก 6 เดือน ปรับ 2,000 บาท รวมจำคุก 8 เดือนปรับ 3,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนและชั้นพิจารณาลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 4 เดือนปรับ 1,500 บาท รอการลงโทษไว้ 1 ปี ไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ริบของกลางคำขออื่นให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 75 อีกกระทงหนึ่ง จำคุก 2 ปี ปรับ20,000 บาท จำเลยให้การเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 ปี ปรับ 10,000 บาทรวมโทษแล้วจำคุก 1 ปี 4 เดือน ปรับ 11,500 บาท รอการลงโทษไว้ 2 ปี ให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติกทุกสามเดือนครั้งภายในเวลา 2 ปีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในเรื่องการไปล่อซื้อกัญชาจากจำเลย แม้นายเคน ทิพย์สีหา พยานโจทก์จะเบิกความในครั้งหลังแตกต่างจากครั้งแรกอยู่บ้างโดยครั้งแรกว่าพยานไปขอซื้อกัญชาจากจำเลยแต่ครั้งหลังเบิกความว่าไปซื้อเชื่อกัญชาจากจำเลย ก็ไม่ใช่สาระสำคัญ เพราะจำเลยนำสืบรับแล้วว่าได้มอบกัญชาให้นายเคนไปจริง ถึงจำเลยจะอ้างว่าเป็นการให้ยืมกัญชาไปใส่ต้มไก่ก็ถือว่าเป็นการจำหน่ายยาเสพติดให้โทษตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4 แล้ว ส่วนกัญชาของกลางอีก 1 ห่อที่เจ้าหน้าที่ตำรวจค้นพบที่บ้านจำเลย ไม่ปรากฏแน่ชัดว่าจำเลยมีไว้เพื่อขายหรือจำหน่ายแก่ผู้ใด จึงฟังได้เพียงว่า จำเลยมีไว้เพื่อเสพดังคำรับสารภาพของจำเลยการกระทำของจำเลยมีความผิดตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย อย่างไรก็ดีที่จำเลยกระทำผิดเป็นยาเสพติดให้โทษเกี่ยวกับกัญชา นับว่ามีอันตรายน้อยกว่ายาเสพติดให้โทษประเภทอื่นและโทษที่จำเลยได้รับก็เหมาะกับความผิดของจำเลยแล้ว จึงไม่จำต้องคุมประพฤติจำเลยอีก ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่ต้องคุมประพฤติจำเลยนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share