คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3708/2525

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ร่วมเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่พิพาทร่วมกับจำเลยจึงมีสิทธิที่จะขายที่พิพาทส่วนที่โจทก์ร่วมมีสิทธิครอบครองให้โจทก์ได้ จำเลยไม่มีสิทธิขอให้เพิกถอนการซื้อขายที่พิพาทระหว่างโจทก์กับโจทก์ร่วมเสียทั้งหมด
มูลคดีที่จำเลยฟ้องแย้งโจทก์เป็นคดีละเมิด โจทก์ไม่มีหน้าที่ตามนิติกรรมที่จะต้องทำการโอนกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองที่พิพาทให้จำเลย การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ใส่ชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาของโจทก์จึงเป็นการไม่ถูกต้อง
โจทก์ร่วมขอออก น.ส.3 สำหรับที่พิพาทแล้วโอนขายให้แก่โจทก์ จำเลยฟ้องแย้งขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่พิพาทระหว่างโจทก์กับโจทก์ร่วม และพิพากษาว่าจำเลยเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่พิพาท ให้โจทก์หรือโจทก์ร่วมโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทให้จำเลย ถ้าไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนา ตามคำขอของจำเลยดังกล่าวแปลได้ว่าจำเลยขอให้ศาลเพิกถอน น.ส.3 ที่โจทก์ร่วมขอออกทับที่พิพาทส่วนของจำเลยอยู่ในตัวดังนั้นเมื่อศาลวินิจฉัยว่าจำเลยมีสิทธิครอบครองที่พิพาทร่วมกับโจทก์ร่วมและการออก น.ส.3 ให้โจทก์ร่วมเป็นการไม่ชอบทั้งโจทก์รับโอนที่พิพาทมาโดยไม่สุจริต ศาลก็พิพากษาให้เพิกถอน น.ส.3 ดังกล่าวเพื่อให้โจทก์จำเลยต่าง ไปดำเนินการขอเอกสารสิทธิเกี่ยวกับที่ดินของตนตามสิทธิได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์จำเลยปลูกบ้านอยู่ในที่ดินดังกล่าว โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายออกไปจากที่พิพาทแล้ว จำเลยไม่ยอมปฏิบัติตาม จึงขอให้พิพากษาบังคับจำเลยและให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย

จำเลยยื่นคำร้องขอให้เรียกนางละอองเข้ามาเป็นโจทก์ร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาต

จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า ที่พิพาทเป็นที่ซึ่งภริยาจำเลยได้รับการยกให้จากมารดา จำเลยกับภริยาได้ปลูกบ้านอยู่อาศัยและครอบครองทำประโยชน์ตลอดมา และให้โจทก์ร่วมอาศัยปลูกบ้านอยู่ในที่พิพาทในฐานะที่เป็นญาติกันด้วย ต่อมาโจทก์ร่วมขอให้เจ้าพนักงานรังวัดที่พิพาทเพื่อออกโฉนด จำเลยได้คัดค้าน การรังวัดออกโฉนดจึงระงับไป และต่อมาโจทก์ร่วมได้ขอให้เจ้าพนักงานที่ดินออก น.ส.3 ก. ที่ดินพิพาทอีกโดยมิได้มีการประกาศหรือรังวัด จำเลยทราบภายหลังได้คัดค้านแต่ไม่เป็นผลเจ้าพนักงานได้ออก น.ส.3 ก. ให้โจทก์ร่วมและโจทก์ร่วมโอนขายให้แก่โจทก์ โจทก์รับโอนโดยไม่สุจริต โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลย ขอให้พิพากษายกฟ้อง และให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่พิพาท พิพากษาว่าจำเลยเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทให้โจทก์และหรือโจทก์ร่วมโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทให้จำเลย ถ้าไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา

โจทก์และโจทก์ร่วมให้การแก้ฟ้องแย้งในทำนองเดียวกันว่าที่พิพาทไม่ใช่ของจำเลยแต่เป็นของโจทก์ร่วม จำเลยเข้ามาอยู่ในที่พิพาทในฐานะผู้อาศัย การซื้อขายที่พิพาทระหว่างโจทก์กับโจทก์ร่วมเป็นการกระทำโดยสุจริตมีค่าตอบแทน ขอให้ยกฟ้องแย้ง

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าโจทก์ร่วมกับจำเลยต่างครอบครองที่พิพาทร่วมกันจึงมีสิทธิในที่พิพาทร่วมกัน การที่โจทก์ร่วมขอออก น.ส.3 ในที่พิพาทเพียงผู้เดียวเป็นการไม่ชอบ และไม่มีสิทธิขายที่พิพาทส่วนของจำเลย โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายพิพากษาว่าโจทก์จำเลยต่างมีสิทธิร่วมกันในที่พิพาท ให้โจทก์ใส่ชื่อจำเลยถือกรรมสิทธิ์ร่วมในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนา

โจทก์ โจทก์ร่วม และจำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าไม่บังคับให้โจทก์ใส่ชื่อจำเลยถือกรรมสิทธิ์ร่วมในหนังสือรับรองการทำประโยชน์และไม่ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของโจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ โจทก์ร่วม และจำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงเช่นเดียวกับศาลล่างทั้งสองว่าโจทก์ร่วมและจำเลยมีสิทธิครอบครองที่พิพาทร่วมกันและวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า

ที่จำเลยฎีกาขอให้เพิกถอนการซื้อขายที่พิพาทระหว่างโจทก์กับโจทก์ร่วมนั้น เมื่อได้วินิจฉัยแล้วว่าโจทก์ร่วมเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่พิพาทร่วมกับจำเลยด้วย โจทก์ร่วมจึงมีสิทธิที่จะขายที่พิพาทส่วนที่โจทก์ร่วมมีสิทธิครอบครองให้กับโจทก์ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1361 คดีจึงไม่อาจเพิกถอนการซื้อขายที่พิพาทระหว่างโจทก์กับโจทก์ร่วมเสียทั้งหมดดังที่จำเลยฎีกา

ที่จำเลยฎีกาขอให้พิพากษาให้โจทก์หรือโจทก์ร่วมโอนกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองที่ดินตาม น.ส.3 ก. เลขที่ 10 ตำบลชะอำ อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรีให้แก่จำเลย ถ้าโจทก์หรือโจทก์ร่วมไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลยในการจดทะเบียนนั้น ศาลฎีกาเห็นว่ามูลคดีที่จำเลยฟ้องแย้งโจทก์และโจทก์ร่วมคดีนี้เป็นคดีละเมิด โจทก์และโจทก์ร่วมจึงไม่มีหน้าที่ตามนิติกรรมที่จะต้องทำการโอนกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองที่พิพาทตาม น.ส.3 ก. เลขที่ 10 ตำบลชะอำ อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรีให้จำเลย ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ใส่ชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาของโจทก์เป็นการไม่ถูกต้องจึงชอบแล้ว แต่อย่างไรก็ดีกรณีตามคำขอของจำเลยดังกล่าวพอแปลได้ว่าจำเลยขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอน น.ส.3 ก. ฉบับพิพาทของโจทก์ที่โจทก์ร่วมขอออกทับที่พิพาทส่วนของจำเลยโดยไม่ชอบอยู่ในตัว ซึ่งศาลฎีกาเห็นว่าเมื่อได้วินิจฉัยไว้แล้วว่าจำเลยมีสิทธิครอบครองที่พิพาทร่วมกับโจทก์ร่วม ทั้งยังปรากฏจากทางนำสืบของโจทก์และโจทก์ร่วมว่าจำเลยได้เคยโต้แย้งคัดค้านการที่โจทก์ร่วมขอออกโฉนดที่พิพาทมาก่อน การขอออก น.ส.3 ก. สำหรับที่พิพาทให้โจทก์ร่วม เจ้าพนักงานก็มิได้ออกไปทำการรังวัดที่พิพาท จึงไม่เกิดเรื่องระหว่างโจทก์ร่วมกับจำเลยและเจ้าพนักงานสามารถออก น.ส.3 ก. ฉบับพิพาทให้โจทก์ร่วมได้ แต่เมื่อจำเลยทราบในภายหลัง จำเลยก็ได้มีหนังสือร้องคัดค้านต่อนายอำเภอชะอำดังที่ปรากฏตามภาพถ่ายเอกสารหมาย ล.12 ซึ่งทั้งโจทก์และโจทก์ร่วมต่างก็เบิกความว่า ในขณะที่ทำการซื้อขายที่พิพาทกันนั้น เจ้าพนักงานได้แจ้งให้โจทก์และโจทก์ร่วมทราบข้อโต้แย้งของจำเลยแล้วตามข้อความที่ปรากฏในภาพถ่ายสัญญาซื้อขายที่ดินหมาย ล.3 ดังนั้นการที่เจ้าพนักงานออก น.ส.3 ก. ฉบับพิพาทหมาย จ.1 ให้โจทก์ร่วมจึงเป็นการไม่ชอบ และการที่โจทก์รับโอนที่พิพาทตาม น.ส.3 ก. หมาย จ.1 มาจากโจทก์ร่วมก็เป็นการไม่สุจริต แม้โจทก์ร่วมจะมีสิทธิครอบครองที่พิพาทอยู่ด้วย กรณีก็ไม่ปรากฏว่าได้มีการแบ่งแยกการครอบครองเป็นส่วนสัด ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรให้เพิกถอน น.ส.3 ก. หมาย จ.1 เสียเพื่อให้โจทก์และจำเลยต่างไปดำเนินการขอเอกสารสิทธิเกี่ยวกับที่ดินของตนตามสิทธิของแต่ละฝ่ายต่อไป

พิพากษาแก้เป็นว่าให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่พิพาทเสียด้วยนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share