คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3702/2545

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ว. มีหนังสือถึงจำเลยมีข้อความแสดงเจตนาแก่จำเลยว่าต้องการให้จำเลยจ่ายเงิน 2,112,450 บาท ให้โจทก์ โดยมีเงื่อนไขว่าจำเลยจะต้องตรวจรับงานติดตั้งกระจกและอะลูมิเนียมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นตัวแทนของจำเลยได้ตรวจรับงานจากโจทก์และจ่ายเงินให้โจทก์ไป 360,000 บาท กับทำบันทึกภายในบริษัทจำเลยยอมรับว่ายังค้างชำระหนี้แก่โจทก์เป็นเงิน 1,752,450 บาท หนังสือของ ว. ย่อมมีลักษณะเป็นคำเสนอ ส่วนการที่จำเลยตรวจรับมอบงานจากโจทก์ จ่ายเงินให้โจทก์ไปบางส่วน และทำบันทึกภายในยอมรับว่าค้างชำระหนี้แก่โจทก์ มีลักษณะเป็นคำสนองด้วยการแสดงเจตนาโดยปริยาย เกิดเป็นสัญญาระหว่าง ว. กับพวกและจำเลย สัญญาเช่นนี้มีลักษณะเป็นสัญญาเพื่อประโยชน์ของบุคคลภายนอกคือโจทก์ โดยจำเลยทำสัญญาตกลงว่าจะชำระหนี้ให้แก่โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 374 โจทก์จึงมีสิทธิเรียกให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์โดยตรงได้ และสัญญาดังกล่าวไม่มีกฎหมายบังคับให้ทำเป็นหนังสือหรือมีหลักฐานเป็นหนังสือ
แม้โจทก์จะตั้งประเด็นมาในคำฟ้องเป็นเรื่องโอนสิทธิเรียกร้องแต่โจทก์ก็ได้บรรยายฟ้องมาเป็นที่เข้าใจได้ว่า ช. ว. และห้างหุ้นส่วนจำกัด ร. ตกลงให้จำเลยชำระหนี้ค่ากระจกและอะลูมิเนียมแก่โจทก์แล้วหักหนี้ค่าที่ดินและอาคารที่จำเลยซื้อไปเมื่อจำเลยได้รับหนังสือจาก ว. แล้วชำระหนี้ให้โจทก์บางส่วน แสดงว่ามีการตกลงกันระหว่าง ว. กับพวกและจำเลยแล้ว ถือได้ว่าคำฟ้องมีประเด็นในเรื่องสัญญาเพื่อประโยชน์ของบุคคลภายนอกด้วย
จำเลยไม่ใช่คู่สัญญากับโจทก์ในการว่าจ้างให้โจทก์ติดตั้งกระจกและอะลูมิเนียมแต่จำเลยเป็นลูกหนี้ของ ช. ว. และห้างหุ้นส่วนจำกัด ร. โดยยังค้างชำระราคาที่ดินและอาคารที่ซื้อไป มูลหนี้ตามสัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ย่อมมีอายุความ 10 ปี อันเป็นข้อที่จำเลยอาจยกขึ้นต่อสู้ผู้ขายได้ เมื่อกรณีเป็นเรื่องสัญญาเพื่อประโยชน์ของบุคคลภายนอก จำเลยมีข้อต่อสู้คู่สัญญาเดิมคือผู้ขายที่ดินและอาคารให้แก่จำเลยอยู่อย่างไรจำเลยอาจยกขึ้นต่อสู้โจทก์ได้เพราะเป็นข้อต่อสู้อันเกิดแต่มูลสัญญาที่ทำให้จำเลยตกลงจะชำระหนี้แก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 376 แต่ไม่มีกฎหมายใดบัญญัติให้จำเลยยกเอาข้อต่อสู้อันเกิดแต่มูลสัญญาซื้อขายและติดตั้งสินค้าดังกล่าวของ ช. กับพวกซึ่งเป็นคู่สัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ของจำเลยขึ้นต่อสู้กับโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกสัญญาซื้อขายของจำเลยได้ คดีนี้จึงมีอายุความ 10 ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า เมื่อประมาณปี 2535 นายชูศักดิ์ สุบินเกษม นางวิไล สุบินเกษม และห้างหุ้นส่วนจำกัดรังสิตก่อสร้างและขนส่งได้ซื้อวัสดุอุปกรณ์ประเภทกระจกและอะลูมิเนียมจากโจทก์ กับว่าจ้างให้โจทก์ไปทำการติดตั้งที่อาคารฉัตรต่อมานายชูศักดิ์กับพวกได้โอนขายอาคารฉัตรพร้อมที่ดินให้จำเลยและตกลงโอนหนี้ค่าติดตั้งสินค้าข้างต้นซึ่งนายชูศักดิ์กับพวกค้างชำระแก่โจทก์เป็นเงิน 2,112,450 บาทให้จำเลยเป็นผู้ชำระแทนเป็นการหักหนี้ค่าที่ดินและอาคารที่จำเลยซื้อไปดังกล่าว โจทก์ทวงถามแล้วจำเลยชำระให้โจทก์เพียง 360,000 บาท ส่วนที่เหลืออีก 1,752,450 บาทจำเลยไม่ชำระ ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 2,278,185 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,752,450 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่า โจทก์กับนายชูศักดิ์ นางวิไลและห้างหุ้นส่วนจำกัดรังสิตก่อสร้างและขนส่งไม่เคยทำสัญญาซื้อขายวัสดุอุปกรณ์ประเภทกระจกและอะลูมิเนียมมาติดตั้งที่อาคารฉัตรของจำเลย จึงไม่มีความผูกพันตามกฎหมายที่จะต้องชำระหนี้ซึ่งกันและกัน การที่โจทก์รับโอนหนี้จากนายชูศักดิ์กับพวกเป็นการฉ้อฉลจำเลยจึงเป็นโมฆะ แม้จำเลยรับโอนหนี้ค่าสินค้าจากนายชูศักดิ์ก็ไม่มีความผูกพันต้องชำระหนี้ให้โจทก์ คดีโจทก์ขาดอายุความ การโอนสิทธิเรียกร้องไม่สมบูรณ์เพราะไม่ได้ทำเป็นหนังสือระหว่างโจทก์กับนายชูศักดิ์และพวก ทั้งจำเลยไม่ได้ยินยอมในการโอนหนี้ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงิน 1,752,450 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 30 มิถุนายน 2541 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติได้ว่า โจทก์เป็นผู้ขายและติดตั้งกระจกและอะลูมิเนียมที่อาคารฉัตร ตามคำสั่งซื้อและการว่าจ้างของนายชูศักดิ์ นางวิไล และห้างหุ้นส่วนจำกัดรังสิตก่อสร้างและขนส่งตั้งแต่ปี 2535 ต่อมาในปี 2536 นายชูศักดิ์กับพวกได้โอนขายอาคารฉัตรพร้อมที่ดินให้จำเลย โดยในวันที่ 29 เมษายน 2537 นางวิไลมีหนังสือแจ้งให้จำเลยชำระหนี้ค่าติดตั้งกระจกและอะลูมิเนียมที่ยังค้างชำระอยู่แก่โจทก์ วันที่ 3 มิถุนายน 2537 นางวิไลมีหนังสือถึงจำเลยแจ้งว่า นางวิไลกับพวกขอโอนสิทธิการรับชำระราคาซื้อขายอาคารสำนักงาน 11 ชั้น ตึกฉัตรจากจำเลยบางส่วนเป็นเงิน 2,112,450 บาท ให้แก่โจทก์ โดยมีเงื่อนไขว่าให้โจทก์ติดตั้งกระจกและอะลูมิเนียมรวมทั้งแก้ไขงานที่ชำรุดบกพร่องที่อาคารฉัตรให้เสร็จเรียบร้อย เมื่อจำเลยตรวจสอบจนเป็นที่พอใจและตรวจรับมอบงานแล้วจึงให้จ่ายเงินดังกล่าวได้ ต่อมาโจทก์ทำงานแล้วเสร็จและส่งมอบงานแก่ตัวแทนของจำเลยเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2538 จำเลยชำระเงินให้โจทก์ไปแล้ว 2 ครั้ง เป็นเงิน 360,000 บาท หลังจากนั้นในวันที่ 20 เมษายน 2538 นางสาวศรีวิรัตน์ ฉัตรจุฑามาศ กรรมการบริหารของจำเลยทำบันทึกถึงกรรมการผู้อำนวยการของจำเลยว่ามีหนังสือสัญญาโอนสิทธิการรับชำระหนี้ของโจทก์เป็นเงิน 1,752,450 บาท และในวันที่ 24 เมษายน 2538 นางสาวศรีวิรัตน์ทำหนังสือถึงกรรมการผู้อำนวยการและผู้อำนวยการฝ่ายการเงินของจำเลยอีกฉบับหนึ่งมีข้อความว่าจำเลยจะต้องทำเช็คสั่งจ่ายให้โจทก์เป็นเงิน 1,752,450 บาท

พิเคราะห์แล้ว ที่จำเลยฎีกาข้อแรกว่า การโอนสิทธิเรียกร้องระหว่างนางวิไลกับพวกให้โจทก์มิได้ทำเป็นหนังสือตามกฎหมาย หนังสือของนางวิไลถึงจำเลยเป็นเพียงหนังสือบอกกล่าวนั้น เห็นว่า นางวิไลมีหนังสือถึงจำเลยมีข้อความแสดงเจตนาแก่จำเลยว่า นางวิไลกับพวกต้องการให้จำเลยจ่ายเงิน 2,112,450 บาท ให้โจทก์โดยมีเงื่อนไขว่าจำเลยจะต้องตรวจรับงานติดตั้งกระจกและอะลูมิเนียมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นตัวแทนของจำเลยได้ตรวจรับงานดังกล่าวจากโจทก์ และจำเลยจ่ายเงินให้โจทก์ไป 360,000 บาท กับทำบันทึกภายในบริษัทจำเลยยอมรับว่ายังค้างชำระหนี้แก่โจทก์เป็นเงิน1,752,450 บาท ดังนี้ หนังสือของนางวิไลย่อมมีลักษณะเป็นคำเสนอ ส่วนการที่จำเลยตรวจรับมอบงานจากโจทก์ จ่ายเงินให้โจทก์ไปบางส่วนและทำบันทึกภายในยอมรับว่าค้างชำระหนี้แก่โจทก์ ย่อมมีลักษณะเป็นคำสนองด้วยการแสดงเจตนาโดยปริยาย เกิดเป็นสัญญาระหว่างนางวิไลกับพวกและจำเลย โดยให้จำเลยรับมอบงานติดตั้งกระจกและอะลูมิเนียมจากโจทก์และจ่ายเงินให้โจทก์แทน เนื่องจากจำเลยยังค้างชำระหนี้ค่าที่ดินและอาคารที่ซื้อจากนางวิไลกับพวกอยู่ สัญญาเช่นนี้มีลักษณะเป็นสัญญาเพื่อประโยชน์ของบุคคลภายนอกคือโจทก์ โดยจำเลยทำสัญญาตกลงว่าจะชำระหนี้ให้แก่โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 374โจทก์จึงมีสิทธิเรียกให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์โดยตรงได้และสัญญาเพื่อประโยชน์ของบุคคลภายนอกเช่นนี้ ไม่มีบทกฎหมายใดบังคับให้ทำเป็นหนังสือหรือมีหลักฐานเป็นหนังสือจึงไม่จำต้องวินิจฉัยว่ามีหนังสือโอนสิทธิเรียกร้องระหว่างนางวิไลกับพวกในฐานะผู้โอนและโจทก์ในฐานะผู้รับโอนหรือไม่ แม้โจทก์จะตั้งประเด็นมาในคำฟ้องทำนองเป็นเรื่องโอนสิทธิเรียกร้องก็ตาม แต่โจทก์ก็ได้บรรยายฟ้องมาเป็นที่เข้าใจได้ว่านายชูศักดิ์ นางวิไลและห้างหุ้นส่วนจำกัดรังสิตก่อสร้างและขนส่งตกลงให้จำเลยชำระหนี้ค่ากระจกและอะลูมิเนียมแก่โจทก์แล้วหักหนี้ค่าที่ดินและอาคารที่จำเลยซื้อไป เมื่อจำเลยได้รับหนังสือจากนางวิไลแล้วชำระหนี้ให้โจทก์เพียง 360,000 บาท ซึ่งแสดงว่ามีการตกลงกันระหว่างนางวิไลกับพวกและจำเลยแล้ว ข้อเท็จจริงตามคำบรรยายฟ้องจะต้องด้วยบทกฎหมายเรื่องใดเป็นเรื่องที่ศาลจะยกขึ้นวินิจฉัย ถือได้ว่าคำฟ้องมีประเด็นในเรื่องสัญญาเพื่อประโยชน์ของบุคคลภายนอกด้วย ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า นางวิไลทำหนังสือขึ้นตามลำพังไม่ปรากฏว่าทำแทนผู้ใดและไม่มีหนังสือมอบอำนาจ และที่ฎีกาว่ายังมีข้อโต้แย้งในเรื่องจำนวนเงินกันอยู่ ทั้งโจทก์และบุคคลอื่นต้องจัดทำหนังสือค้ำประกันจำนวนเงิน 6,102,352 บาท ก่อนจึงจะรับเงินได้นั้น ฎีกาทั้งสองประเด็นนี้จำเลยมิได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น

ที่จำเลยฎีกาข้อสุดท้ายว่า คดีโจทก์ขาดอายุความเพราะมิได้ฟ้องภายใน 2 ปีนับแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2538 อันเป็นวันรับมอบงานนั้น เห็นว่า จำเลยมิใช่คู่สัญญากับโจทก์ในการว่าจ้างให้โจทก์ติดตั้งกระจกและอะลูมิเนียม แต่จำเลยเป็นลูกหนี้ของนายชูศักดิ์ นางวิไลและห้างหุ้นส่วนจำกัดรังสิตก่อสร้างและขนส่ง โดยยังค้างชำระราคาที่ดินและอาคารที่ซื้อไป มูลหนี้ตามสัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ย่อมมีอายุความ 10 ปีอันเป็นข้อที่จำเลยอาจยกขึ้นต่อสู้ผู้ขายได้ เมื่อกรณีเป็นเรื่องสัญญาเพื่อประโยชน์ของบุคคลภายนอกดังวินิจฉัยไว้ข้างต้นแล้ว จำเลยมีข้อต่อสู้คู่สัญญาเดิมคือผู้ขายที่ดินและอาคารให้แก่จำเลยอยู่อย่างไร จำเลยอาจยกขึ้นต่อสู้โจทก์ได้ เพราะเป็นข้อต่อสู้อันเกิดแต่มูลสัญญาที่ทำให้จำเลยตกลงว่าจะชำระหนี้แก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 376 แต่ไม่มีบทกฎหมายใดบัญญัติให้จำเลยยกเอาข้อต่อสู้อันเกิดแต่มูลสัญญาซื้อขายและติดตั้งสินค้าดังกล่าวของนายชูศักดิ์กับพวก ซึ่งเป็นคู่สัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ของจำเลยขึ้นต่อสู้กับโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกสัญญาซื้อขายของจำเลยดังกล่าวได้ คดีนี้จึงมีกำหนดอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30 ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า กรณีเป็นการโอนสิทธิเรียกร้องกันโดยชอบ คดีมีอายุความ 2 ปี แต่ยังไม่มีการรับมอบงานจึงไม่ขาดอายุความ และพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้ให้โจทก์นั้น ศาลฎีกาคงเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้นเช่นกัน”

พิพากษายืน

Share