แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
กรณีตามใบขนสินค้าขาเข้าฉบับหลังกรมศุลกากรโจทก์นำเงินที่ได้รับจากธนาคารชำระหนี้ค่าอากรขาเข้าก่อนแล้วจึงนำส่วนที่เหลือไปชำระเงินเพิ่ม ส่วนกรณีตามใบขนสินค้าขาเข้า 2 ฉบับแรก มีข้อสงสัยว่าโจทก์นำเงินที่ได้รับจากธนาคารไปชำระหนี้ค่าอากรขาเข้าก่อนหรือชำระเงินเพิ่มก่อน ต้องตีความไปในทางที่เป็นคุณแก่จำเลย ซึ่งเป็นคู่กรณีฝ่ายซึ่งจะเป็นผู้ต้องเสียในมูลหนี้นั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 11 จึงฟังได้ว่า โจทก์นำเงินที่ได้รับจากธนาคารไปหักชำระเป็นค่าอากรขาเข้าก่อนเมื่อเงินที่ธนาคารส่งให้โจทก์เพื่อชำระหนี้ตามใบขนสินค้าขาเข้าแต่ละฉบับมีจำนวนมากกว่าอากรขาเข้า จึงไม่มีอากรขาเข้าที่ค้างชำระอีกต่อไป เงินที่ขาดจำนวนอีก 345,890.88 บาท จึงเป็นเงินเพิ่มที่จำเลยยังค้างชำระ แม้พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 112 จัตวา วรรคสาม จะบัญญัติให้ถือว่าเงินเพิ่มเป็นเงินอากร แต่มาตรา 112 จัตวา วรรคหนึ่ง ให้เรียกเก็บเงินเพิ่มในอัตราร้อยละหนึ่งต่อเดือนของค่าอากรที่นำมาชำระโดยไม่คิดทบต้น ดังนั้น โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกเก็บเงินเพิ่มในอัตราร้อยละหนึ่งต่อเดือนจากเงินเพิ่มที่ค้างชำระจำนวน 345,890.88 บาท เพราะเป็นการคิดเงินเพิ่มทบต้น ต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด เมื่อระหว่างวันที่ 27 ธันวาคม 2535 ถึงวันที่ 27 กรกฎาคม 2536 จำเลยได้นำสินค้าชนิดต่าง ๆ ซึ่งมีถิ่นกำเนิดในต่างประเทศเข้ามาในราชอาณาจักรโดยทางเรือ ตามใบขนสินค้าขาเข้าเลขที่ 010300161060 สำแดงค่าอากร 587,902 บาท ภาษีมูลค่าเพิ่ม 127,731 บาท ใบขนสินค้าขาเข้าเลขที่ 0302 00460114 สำแดงค่าอากร 171,683 บาท ภาษีมูลค่าเพิ่ม 52,077 บาท ใบขนสินค้าขาเข้าเลขที่ 0103 00766068 สำแดงค่าอากร 337,543 บาท ภาษีมูลค่าเพิ่ม 102,387 บาท เจ้าหน้าที่ของโจทก์สั่งให้จำเลยวางประกันสำหรับค่าอากรขาเข้าแต่ละใบขน จำนวน 707,000 บาท 207,000 บาท และ 406,000 บาท ตามลำดับจำเลยได้ชำระค่าภาษีมูลค่าเพิ่มและวางหนังสือค้ำประกันของธนาคารไว้ต่อโจทก์ตามวงเงินที่เจ้าหน้าที่กำหนดในแต่ละใบขนแล้ว เจ้าหน้าที่ของโจทก์ได้ปล่อยสินค้าให้จำเลยในการนำเข้าดังกล่าว จำเลยมีเจตนาจะใช้สินค้ามาเป็นวัตถุดิบในการผลิตเป็นสินค้าสำเร็จรูปเพื่อส่งออกต่างประเทศภายใน 1 ปี นับแต่วันที่นำเข้า และจะขอคืนอากรภายใน6 เดือน นับแต่วันส่งออก อันเป็นการนำเข้าสินค้าเพื่อขอคืนอากรขาเข้าในภายหลังตามบทบัญญัติมาตรา 19 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2482 ต่อมาปรากฏว่าจำเลยมิได้นำสินค้าที่นำเข้าดังกล่าวมาใช้ผลิต ผสม ประกอบ หรือบรรจุเป็นสินค้าสำเร็จรูปส่งออกไปต่างประเทศภายในกำหนด 1 ปี นับแต่วันนำเข้า คงมีสินค้าคงเหลือเต็มจำนวนตามใบขนสินค้าขาเข้าทั้ง 3 ฉบับ จำเลยจึงไม่มีสิทธิขอรับคืนอากรขาเข้า อีกทั้งยังต้องรับผิดชำระค่าอากรขาเข้าสำหรับสินค้าดังกล่าวและเงินเพิ่มอากรขาเข้าเป็นรายเดือนตามมาตรา 112 จัตวา แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 เจ้าหน้าที่ของโจทก์จึงเรียกให้จำเลยชำระค่าอากรขาเข้าตามที่จำเลยได้สำแดงไว้ในแต่ละใบขนจำนวน 587,902 บาท 171,683 บาท และ 337,543 บาท ตามลำดับ รวมค่าอากรทั้งหมดจำนวน 1,097,128 บาท (ยังไม่รวมเงินเพิ่มตามกฎหมาย) แต่จำเลยไม่ได้อุทธรณ์การประเมินและไม่ได้นำเงินมาชำระแต่อย่างใด ต่อมาเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม และวันที่ 2 กันยายน 2540 ธนาคารได้ชำระเงินตามวงเงินที่ค้ำประกันไว้ในแต่ละใบขน เมื่อนำมาหักกับค่าอากรและเงินเพิ่มแต่ละประเภทแล้ว จำเลยคงต้องรับผิดชดใช้ค่าอากรในส่วนที่ขาดสำหรับใบขนสินค้าขาเข้า 3 ฉบับ ดังกล่าวมารวมทั้งสิ้นจำนวน 345,890.88 บาท(ยังไม่รวมเงินเพิ่มตามกฎหมาย) โจทก์ได้ทวงถามแล้วแต่จำเลยเพิกเฉย จำเลยจึงเป็นหนี้ค่าอากรรวมทั้งเงินเพิ่มทุกประเภทคำนวณนับแต่วันที่ธนาคารชำระจนถึงวันฟ้อง เป็นเงินทั้งสิ้น 477,329.41 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 477,329.41 บาท และเงินเพิ่มตามใบขนเลขที่ 0103 00161060 อัตราเดือนละ 1,983.69 บาท ใบขนเลขที่ 0302 00460114 อัตราเดือนละ 539.58 บาท ใบขนเลขที่ 0103 00766068อัตราเดือนละ 935.64 บาท นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและมิได้มาศาลในวันนัดสืบพยานโจทก์
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 345,890.88 บาท แก่โจทก์ คำขออื่นให้ยก
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ตามคำพิพากษาศาลภาษีอากรกลาง และตามที่โจทก์นำสืบว่า เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2535 ถึงวันที่ 27 กรกฎาคม2536 จำเลยนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ 3 ครั้ง ตามใบขนสินค้าขาเข้าเอกสารหมาย จ.1 แผ่นที่ 1, 3 และ 6 โดยจำเลยจะใช้สินค้าดังกล่าวเป็นวัตถุดิบผลิตเป็นสินค้าสำเร็จรูปเพื่อส่งออกต่างประเทศภายใน 1 ปี นับแต่วันนำเข้า พนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์ให้จำเลยวางประกันค่าอากรขาเข้าแต่ละใบขนเป็นเงิน 707,000 บาท 207,000 บาท และ 406,000 บาท ตามลำดับ จำเลยได้ชำระภาษีมูลค่าเพิ่มและวางประกันค่าอากรตามใบขนสินค้าขาเข้าทั้งสามฉบับโดยใช้หนังสือค้ำประกันจากธนาคารกสิกรไทย จำกัด(มหาชน) จำเลยรับสินค้าไปแล้ว ต่อมาเมื่อครบ 1 ปี จำเลยมิได้นำสินค้าดังกล่าวมาผลิตเป็นสินค้าแล้วส่งมอบ จำเลยจึงไม่มีสิทธิขอรับอากรขาเข้าคืนและต้องชำระค่าอากรขาเข้ารวมทั้งเงินเพิ่มสำหรับสินค้าดังกล่าว โจทก์แจ้งให้จำเลยชำระค่าอากรขาเข้าตามใบขนสินค้าขาเข้าทั้งสามฉบับรวมเป็นเงิน 1,097,128 บาท แต่จำเลยไม่ชำระและมิได้อุทธรณ์การประเมินโจทก์จึงเรียกให้ธนาคารผู้ค้ำประกันชำระเงินตามจำนวนที่ค้ำประกันไว้ เมื่อธนาคารชำระหนี้แล้วยังมีหนี้ค่าภาษีค้างชำระรวม 345,890.88 บาท คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า โจทก์มีสิทธิเรียกเก็บเงินเพิ่มในอัตราร้อยละหนึ่งต่อเดือนโดยคิดจากค่าภาษีจำนวนดังกล่าวหรือไม่ ในการหักเงินที่ธนาคารผู้ค้ำประกันส่งมาชำระภาษีนั้น โจทก์มีนายวรวิทย์ ขาวขันธ์ และนางพุฒินาถ วัฒนกูล มาเบิกความเพียงว่าเงินที่ธนาคารส่งมาชำระยังไม่คุ้มกับค่าอากรและเงินเพิ่ม ตามใบสรุปยอดเงินภาษีอากรขาเข้าเอกสารหมาย จ.1 แผ่นที่ 37, 38 และ 43 พิเคราะห์แล้ว ตามใบสรุปยอดเงินภาษีอากรขาเข้า เอกสารหมาย จ.1 แผ่นที่ 37 และ 38 ซึ่งเป็นการชำระค่าภาษีสำหรับสินค้าที่นำเข้าตามใบขนสินค้าขาเข้าเลขที่ 0103 00161060 และเลขที่ 010300766068 ตามลำดับ มิได้ระบุว่าเงินที่ธนาคารนำมาชำระนั้นหักชำระอากรขาเข้าก่อนหรือชำระเงินเพิ่มก่อน เพียงแต่มีข้อความว่า โจทก์นำอากรขาเข้าและเงินเพิ่มมารวมกันแล้วลบด้วยจำนวนเงินที่ธนาคารส่งมาชำระแล้วระบุว่าชำระขาด 198,369.08 บาท และ 93,563.64 บาท ตามลำดับ ส่วนใบสรุปยอดเงินภาษีอากรขาเข้า เอกสารหมาย จ.1 แผ่นที่ 43 ซึ่งเป็นการชำระค่าภาษีสำหรับสินค้าที่จำเลยนำเข้าตามใบขนสินค้าขาเข้าเลขที่ 0302 00460114 ระบุไว้ว่าเงินที่ธนาคารส่งมาชำระนั้น โจทก์นำไปหักชำระอากรขาเข้าก่อน แล้วจึงนำเงินที่เหลือไปชำระเงินเพิ่ม เมื่อหักแล้วเงินเพิ่มคงค้างชำระ53,958.16 บาท ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า กรณีตามใบขนสินค้าขาเข้า ฉบับหลังนี้ โจทก์นำเงินที่ได้รับจากธนาคารชำระหนี้ค่าอากรขาเข้าก่อนแล้วจึงนำส่วนที่เหลือไปชำระเงินเพิ่ม ส่วนกรณีตามใบขนสินค้าขาเข้า 2 ฉบับแรก มีข้อสงสัยว่าโจทก์นำเงินที่ได้จากธนาคารไปชำระหนี้ค่าอากรขาเข้าก่อนหรือชำระเงินเพิ่มก่อน จึงตีความไปในทางที่เป็นคุณแก่จำเลยซึ่งเป็นคู่กรณีฝ่ายซึ่งจะเป็นผู้ต้องเสียในมูลหนี้นั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 11 ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์นำเงินที่ได้รับจากธนาคารไปหักชำระเป็นค่าอากรขาเข้าก่อน เมื่อปรากฏว่าเงินที่ธนาคารส่งให้โจทก์เพื่อชำระหนี้ค้ำประกันตามใบขนสินค้าขาเข้าแต่ละฉบับมีจำนวนมากกว่าอากรขาเข้า ดังนั้น เมื่อโจทก์นำไปชำระหนี้ค่าอากรขาเข้าก่อน จึงไม่มีอากรขาเข้าที่ค้างชำระอีกต่อไป เงินที่ขาดจำนวนอีก 345,890.88 บาท จึงเป็นเงินเพิ่มที่จำเลยยังค้างชำระ แม้พระราชบัญญัติศุลกากรพ.ศ. 2469 มาตรา 112 จัตวา วรรคสาม จะบัญญัติให้ถือว่าเงินเพิ่มเป็นเงินอากร แต่มาตรา 112 จัตวา วรรคหนึ่ง บัญญัติ “… ให้เรียกเก็บเงินเพิ่มในอัตราร้อยละหนึ่งต่อเดือนขอค่าอากรที่นำมาชำระโดยไม่คิดทบต้น…” ดังนั้น โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกเก็บเงินเพิ่มในอัตราร้อยละหนึ่งต่อเดือนจากเงินเพิ่มที่ค้างชำระจำนวน 345,890.88 บาท เพราะเป็นการคิดเงินเพิ่มทบต้น ต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว”
พิพากษายืน