แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์กรอกคำตอบในใบคำขอเอาประกันชีวิตโจทก์ ว่าไม่เคยเป็นหรือทราบว่าเป็นหรือเคยได้รับคำแนะนำหรือการรักษาโรคมะเร็งเนื้องอกตุ่มเนื้อหรืออวัยวะใด ๆ ที่งอกหรือโตขึ้นผิดปกติ ไม่เคยมีอาการผิดปกติที่เต้านมมาก่อน แต่ปรากฏว่า โจทก์เคยเข้าโรงพยาบาลด้วยอาการปวดบริเวณเต้านม ซึ่งแพทย์ตรวจพบว่ามีก้อนเนื้อที่เต้านมด้านซ้ายเมื่อโจทก์ทราบแล้ว แต่โจทก์มิได้แจ้งให้จำเลยทราบซึ่งหากจำเลยทราบอาจเรียกเบี้ยประกันให้สูงขึ้นหรือไม่รับประกันชีวิต การกระทำของโจทก์มีผลให้สัญญาประกันชีวิตและสัญญาพิเศษเพิ่มเติมตกเป็นโมฆียะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 865 วรรคหนึ่ง
จำเลยได้ทราบถึงข้อเท็จจริงที่โจทก์ปกปิดไว้อันเป็นมูลที่จำเลยจะบอกล้างโมฆียะกรรมได้อย่างเร็วที่สุดเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2538 เมื่อโจทก์เรียกค่ารักษาพยาบาลจากจำเลย จำเลยปฏิเสธไม่จ่ายเงินให้เพราะโจทก์ปิดบังการป่วยเป็นโรคของโจทก์ก่อนที่จะทำสัญญาประกันภัย ต่อมาวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2538 โจทก์ทำบันทึกต่อนายทะเบียนกรมการประกันภัย ระบุว่าโจทก์ไปยื่นเรื่องเบิกค่ารักษาพยาบาลเป็นค่ารักษาการผ่าตัดแต่จำเลยปฏิเสธการจ่าย ต่อจากนั้นจำเลยมีหนังสือบอกล้างโมฆียะกรรมลงวันที่ 17กุมภาพันธ์ 2538 ไปยังจำเลย จึงเป็นการใช้สิทธิบอกล้างภายในกำหนดหนึ่งเดือนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 865 วรรคสอง สัญญาประกันชีวิตในส่วนสัญญาเพิ่มเติมพิเศษซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาประกันชีวิต ในส่วนการรักษาก้อนเนื้อที่เต้านมข้างซ้ายระหว่างโจทก์กับจำเลยย่อมเป็นโมฆะ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2536 โจทก์ทำสัญญาประกันภัยประเภทสัญญาประกันชีวิตและสัญญาพิเศษเพิ่มเติมอีก 7 รายการกับจำเลย ต่อมาระหว่างสัญญาประกันภัยยังมีผลบังคับเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2537 โจทก์เจ็บป่วยด้วยโรคมะเร็งที่เต้านมจนไม่สามารถประกอบกิจการงานได้ตามปกติและต้องเข้ารับการรักษาพยาบาลตลอดมา โจทก์จึงทวงถามให้จำเลยรับผิดใช้เงินตามสัญญาพิเศษเพิ่มเติมกรณีทุพพลภาพเป็นเงิน 300,000 บาท อุบัติเหตุพิเศษเป็นเงิน 300,000 บาท ค่ารักษาพยาบาลเนื่องจากอุบัติเหตุเป็นเงิน 30,000 บาท ค่ารักษาพยาบาลรายวัน (สำหรับผู้ป่วยใน) วันละ 1,000 บาท ขอคิดสูงสุดเป็นระยะเวลา 1,250 วัน เป็นเงิน 1,250,000บาท และการประกันสุขภาพคิดสูงสุดตามสัญญาเป็นเงิน 39,450 บาท รวมเป็นเงิน1,919,450 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 1,919,450 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า ขณะโจทก์เอาประกันชีวิตโจทก์รู้อยู่แล้วว่าโจทก์มีอาการผิดปกติบริเวณเต้านมข้างซ้าย แต่โจทก์ละเว้นไม่แจ้งข้อเท็จจริงดังกล่าวอันจะเป็นเหตุให้จำเลยต้องเรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นหรือบอกปัดไม่ยอมทำสัญญา และเมื่อจำเลยทราบว่าโจทก์มีอาการเจ็บป่วยดังกล่าวอยู่ก่อนแล้ว จำเลยได้บอกเลิกสัญญาประกันชีวิตและสัญญาพิเศษเพิ่มเติมในส่วนที่เกี่ยวกับความผิดปกติที่เต้านมข้างซ้ายของโจทก์แล้ว สัญญาในส่วนดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะ มิอาจใช้บังคับได้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินกรณีทุพพลภาพสิ้นเชิงถาวรจำนวน300,000 บาท กรณีค่ารักษาพยาบาลรายวันจำนวน 30,000 บาท และกรณีประกันสุขภาพจำนวน 39,450 บาท รวมเป็นเงิน 369,450 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
ก่อนศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์ โจทก์ถึงแก่กรรม นายเชลาลัม กิตติมานะรัศมีทายาทของโจทก์ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลชั้นต้นอนุญาต
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์โดยโจทก์ได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้เป็นยุติว่า โจทก์ได้ทำสัญญาประกันชีวิตกับจำเลยในวงเงินประกัน 300,000 บาท พร้อมสัญญาพิเศษเพิ่มเติม ตามสัญญาประกันชีวิตฉบับลงวันที่ 28 ธันวาคม 2536 เอกสารหมาย จ.1 ต่อมาโจทก์ป่วยเป็นโรคมะเร็งที่เต้านมข้างซ้ายต้องรักษาในโรงพยาบาลจึงเรียกร้องให้จำเลยชำระเงินตามสัญญา แต่จำเลยไม่ชำระ คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยมีสิทธิบอกล้างสัญญาประกันชีวิตและสัญญาพิเศษเพิ่มเติมระหว่างโจทก์และจำเลยได้หรือไม่ เห็นว่า สัญญาประกันชีวิตและสัญญาพิเศษเพิ่มเติมนั้น โจทก์ซึ่งเป็นผู้เอาประกันภัยจะต้องเปิดเผยข้อความจริงให้แก่ผู้รับประกันภัยทราบตามรายการที่ระบุไว้ในใบคำขอเอาประกันภัยชีวิตที่จำเลยจัดให้โจทก์กรอกคำตอบ แต่ปรากฏในใบคำขอเอาประกันชีวิต เอกสารหมาย ล.11 โจทก์แจ้งไว้ในข้อ 12(ซ) ว่าไม่เคยเป็นหรือทราบว่าเป็นหรือเคยได้รับคำแนะนำหรือการรักษาโรคมะเร็ง เนื้องอก ตุ่มเนื้อหรืออวัยวะใด ๆ ที่งอกหรือโตขึ้นผิดปกติและในข้อ 15 โจทก์แจ้งว่าไม่เคยมีอาการผิดปกติที่เต้านมมาก่อนแต่ข้อเท็จจริงกลับปรากฏว่า เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2536 โจทก์เคยเข้าไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลลาดพร้าวด้วยอาการปวดบริเวณเต้านม ซึ่งแพทย์ตรวจพบว่ามีก้อนเนื้อที่เต้านมด้านซ้ายตามผลการตรวจรักษาของโรงพยาบาลลาดพร้าว เอกสารหมาย ล.14ดังนั้น ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่าโจทก์ทราบว่าตนเองมีอาการผิดปกติเกี่ยวกับเต้านมด้านซ้ายและเข้าไปรับการตรวจจากโรงพยาบาลดังกล่าวมาก่อนแล้ว แต่โจทก์มิได้แจ้งข้อความจริงดังกล่าวให้จำเลยทราบเมื่อมาขอเอาประกันชีวิต ซึ่งข้อความจริงนี้หากจำเลยทราบก็อาจเรียกเบี้ยประกันให้สูงขึ้นหรือไม่รับประกันชีวิตโจทก์ก็ได้ การกระทำของโจทก์ดังกล่าวย่อมมีผลให้สัญญาประกันชีวิตและสัญญาพิเศษเพิ่มเติมตกเป็นโมฆียะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 865 วรรคหนึ่ง จำเลยย่อมมีสิทธิบอกล้างนิติกรรมดังกล่าวได้ ปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่า จำเลยได้บอกล้างนิติกรรมภายในกำหนดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 865 วรรคสอง แล้วหรือไม่ เห็นว่า ตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวกำหนดให้ผู้รับประกันภัยใช้สิทธิบอกล้างภายในกำหนดเดือนหนึ่งนับแต่วันที่ผู้รับประกันภัยทราบมูลอันจะบอกล้างได้ ข้อเท็จจริงได้ความจากนายคมศร ชลสุวรรณวัฒน์ พยานจำเลยว่า เมื่อโจทก์ยื่นใบเรียกร้องค่ารักษาพยาบาลตามสัญญาประกันชีวิตและสัญญาพิเศษเพิ่มเติม พยานได้ตรวจสอบแล้วพบว่าโจทก์มีประวัติเคยเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลลาดพร้าวจึงได้ทำหนังสือถึงโรงพยาบาลลาดพร้าวเพื่อขอทราบรายละเอียดซึ่งทางโรงพยาบาลลาดพร้าวได้มีหนังสือลงวันที่ 17 มกราคม 2538 แจ้งให้จำเลยทราบตามเอกสารหมาย ล.14 ดังนั้นจึงน่าเชื่อว่าจำเลยได้ทราบข้อเท็จจริงที่โจทก์ปกปิดไว้อันเป็นมูลที่จำเลยจะบอกล้างโมฆียะกรรมได้อย่างเร็วที่สุด เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2538 โจทก์เบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า เมื่อโจทก์เรียกค่ารักษาพยาบาลจากจำเลย จำเลยปฏิเสธไม่จ่ายเงินให้เพราะโจทก์ปิดบังการป่วยเป็นโรคของโจทก์ก่อนที่จะทำสัญญาประกันภัย ต่อมาวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2538 โจทก์ทำบันทึกต่อนายทะเบียนกรมการประกันภัยตามคำร้องกล่าวหาที่ 49 เอกสารหมาย ล.6 ระบุว่าโจทก์ไปยื่นเรื่องเบิกค่ารักษาพยาบาลเป็นค่ารักษาการผ่าตัด แต่จำเลยปฏิเสธการจ่าย ต่อจากนั้นจำเลยมีหนังสือบอกล้างโมฆียะกรรมลงวันที่17 กุมภาพันธ์ 2538 ไปยังจำเลย จึงเป็นการใช้สิทธิบอกล้างภายในกำหนดหนึ่งเดือนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 865 วรรคสอง ดังนั้น เมื่อจำเลยบอกล้างโมฆียะกรรมโดยชอบแล้ว สัญญาประกันชีวิตในส่วนสัญญาเพิ่มเติมพิเศษ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาประกันชีวิต ในส่วนการรักษาก้อนเนื้อที่เต้านมข้างซ้ายระหว่างโจทก์กับจำเลยย่อมเป็นโมฆะ โจทก์ไม่สามารถใช้สิทธิเรียกร้องให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาประกันชีวิตในส่วนสัญญาพิเศษเพิ่มเติมดังกล่าวได้ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน