แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมให้จำเลยที่ 2 ไปทำการจดทะเบียนโอนสิทธิในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้โจทก์ และโจทก์จะชำระเงินค่าที่ดินให้จำเลยที่ 2 พร้อมกันณ สำนักงานที่ดินเวลา 11 นาฬิกา ถึงวันนัด ต่างฝ่ายต่างยืนยันว่าฝ่ายตนปฏิบัติตามสัญญา แต่อีกฝ่ายไม่ปฏิบัติตาม โดยจำเลยที่ 2 แถลงว่า จำเลยที่ 2 ได้ไปและคอยโจทก์ที่สำนักงานที่ดินพร้อมด้วยเอกสารอันจำเป็นในการจดทะเบียนโอนสิทธิในที่ดินให้ฝ่ายโจทก์ตั้งแต่เวลา 10.30 นาฬิกา ถึงเวลา12 นาฬิกา ส่วนโจทก์ยื่นคำร้องว่า โจทก์ได้มอบให้ทนายโจทก์นำเอกสารการรับโอนสิทธิไปสำนักงานที่ดิน เวลา 10.45 นาฬิกา และแจ้งทนายจำเลยทราบว่าโจทก์กำลังดำเนินการให้ธนาคารออกเช็คขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่ที่ดินเตรียมเอกสารต่าง ๆ ในการทำนิติกรรมให้ และโจทก์ได้เดินทางไปถึงสำนักงานที่ดินเมื่อเวลา 12.10 นาฬิกา พร้อมทั้งเช็คและเงินสดเพื่อชำระให้จำเลยที่ 2 แต่จำเลยที่ 2 และเจ้าหน้าที่ที่ดินไม่ดำเนินการจดทะเบียนโอนสิทธิในที่ดินให้ตามสัญญา เช่นนี้ ข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไร ศาลชั้นต้นชอบที่จะทำการไต่สวนให้ได้ความจริงเป็นยุติ โดยเฉพาะถ้าข้ออ้างของโจทก์ที่ว่าได้ให้ทนายโจทก์ไปแจ้งต่อทนายจำเลยที่สำนักงานที่ดินว่าพร้อมที่จะรับโอนที่ดินเป็นความจริง จำเลยที่ 2 ก็จะอ้างว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาประนีประนอมยอมความเสียทีเดียวยังไม่ได้ การที่ศาลชั้นต้นเพียงแต่นัดสอบถามแล้วมีคำสั่งว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดนัด เป็นการไม่ชอบ
ย่อยาว
คดีนี้สืบเนื่องจากศาลชั้นต้นได้พิพากษาตามยอมให้จำเลยที่ ๒ ไปทำการจดทะเบียนโอนสิทธิในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ ๑๘๑ หมู่ที่ ๑ ตำบลแม่แรม อำเภอแม่ริมจังหวัดเชียงใหม่ ให้โจทก์ และโจทก์จะชำระเงินค่าที่ดินให้จำเลยที่ ๒ พร้อมกันในวันที่ ๒๐ ตุลาคม๒๕๓๒ เวลา ๑๑ นาฬิกา ณ สำนักงานที่ดินอำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ หากโจทก์ไม่ไปรับโอนพร้อมกับชำระค่าที่ดินทั้งหมดให้แก่จำเลยที่ ๒ ตามกำหนดให้ถือว่าโจทก์ผิดนัด หากจำเลยที่ ๒ ไม่ไปทำการโอนตามกำหนดยินยอมให้โจทก์ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาโอนของจำเลยที่ ๒แทนได้
ถึงวันกำหนดนัด ต่างฝ่ายต่างอ้างว่าอีกฝ่ายหนึ่งผิดนัด ศาลชั้นต้นนัดสอบถามแล้วมีคำสั่งว่า โจทก์เป็นฝ่ายผิดนัด
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาว่าโจทก์ผิดสัญญาประนีประนอมยอมความหรือไม่จำเลยที่ ๒ และโจทก์ยื่นคำแถลงเป็นหนังสือและคำร้องลงวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๓๒ เวลา๑๕.๒๕ นาฬิกา และ ๑๖.๒๐ นาฬิกา ตามลำดับ พร้อมสำเนาบันทึกถ้อยคำที่กระทำต่อเจ้าหน้าที่ที่ดินอำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ยืนยันว่าฝ่ายตนปฏิบัติตามสัญญา แต่อีกฝ่ายไม่ปฏิบัติตาม โดยจำเลยที่ ๒ แถลงว่า จำเลยที่ ๒ ได้ไปและคอยโจทก์ที่สำนักงานที่ดินอำเภอแม่ริม พร้อมด้วยเอกสารอันจำเป็นในการจดทะเบียนโอนสิทธิในที่ดินให้ฝ่ายโจทก์ตั้งแต่เวลา ๑๐.๓๐ นาฬิกา ถึงเวลา๑๒ นาฬิกา ส่วนโจทก์ยื่นคำร้องว่า โจทก์ได้มอบให้ทนายโจทก์นำเอกสารการรับโอนสิทธิไปสำนักงานที่ดินอำเภอแม่ริม เวลา ๑๐.๔๕ นาฬิกา และแจ้งทนายจำเลยทราบว่าโจทก์กำลังดำเนินการให้ธนาคารออกเช็ค ขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่ที่ดินเตรียมเอกสารต่าง ๆ ในการทำนิติกรรมให้ และโจทก์ได้เดินทางไปถึงสำนักงานที่ดินเมื่อเวลา ๑๒.๑๐ นาฬิกา พร้อมทั้งเช็คและเงินสดเพื่อชำระให้จำเลยที่ ๒ แต่จำเลยที่ ๒ และเจ้าหน้าที่ที่ดินไม่ดำเนินการจดทะเบียนโอนสิทธิในที่ดินตามสัญญา พิเคราะห์สำเนาบันทึกถ้อยคำที่โจทก์และจำเลยที่ ๒ ได้กระทำต่อเจ้าหน้าที่ที่ดินประกอบแล้วเห็นว่า ตามคำแถลงของจำเลยที่ ๒ และคำร้องของโจทก์ ข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไร ศาลชั้นต้นยังมิได้ทำการไต่สวนให้ได้ความจริงเป็นยุติ โดยเฉพาะถ้าหากข้ออ้างของโจทก์ที่ว่าได้ให้ทนายโจทก์ไปแจ้งต่อทนายจำเลยที่สำนักงานที่ดินอำเภอแม่ริมว่าพร้อมที่จะรับโอนที่ดินเป็นความจริง จำเลยที่ ๒ก็จะอ้างว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาประนีประนอมยอมความเสียทีเดียวยังไม่ได้ ศาลล่างทั้งสองพิพากษาว่าฝ่ายโจทก์ผิดสัญญาประนีประนอมยอมความโดยไม่ได้ไต่สวนให้ได้ข้อเท็จจริงดังกล่าว ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๒ ให้ศาลชั้นต้นไต่สวนพยานหลักฐานของจำเลยที่ ๒ และโจทก์ตามคำแถลงและคำร้องลงวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๓๒แล้วมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี.