คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3682/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พนักงานอัยการเคยเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 เป็นจำเลยในคดีก่อนว่า ได้ร่วมกับจำเลยอื่นยักยอกเงินรายอื่น ซึ่งเป็นเงินรายเดียวกับรายที่โจทก์ฟ้องเรียกจากจำเลยที่ 2 และที่ 3 ในคดีนี้ หาใช่เป็นเงินจำนวนที่โจทก์ฟ้องเรียกจากจำเลยที่ 1 ในคดีนี้ไม่ คดีสำหรับจำเลยที่ 1 จึงไม่ใช่ คดีแพ่งอันเกี่ยวเนื่อง กับคดีอาญาที่จะต้องบังคับตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ว่า โจทก์กล่าวอ้างในคำฟ้องว่าจำเลยที่ 1ได้กระทำการทุจริตยักยอกเงินของโจทก์ ศาลแรงงานกลางต้องรับฟังพยานหลักฐานของโจทก์ว่า โจทก์นำสืบได้สมกับที่มีภาระการพิสูจน์หรือไม่ จากการนำสืบของโจทก์ไม่มีข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานใดที่จะพิสูจน์ได้สมตามประเด็นที่กล่าวอ้าง โจทก์จึงต้องเป็นฝ่ายแพ้คดี แสดงว่าจำเลยที่ 1 ประสงค์ให้ศาลฎีกาพิพากษาให้โจทก์เป็นฝ่ายแพ้คดีซึ่งมีผลเท่ากับขอให้ศาลฎีการับฟังว่า จำเลยที่ 1มิได้ปฏิบัติผิดต่อข้อบังคับ และมิได้กระทำการทุจริตยักยอกเงินของโจทก์ดังที่ศาลแรงงานกลางรับฟังมาเท่านั้น อุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 จึงเป็นเรื่องโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลางอันเป็นข้อเท็จจริง ต้องห้ามอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522มาตรา 54 ในคดีอาญาเรื่องก่อนพนักงานอัยการได้เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 3 ในคดีนี้เป็นจำเลยต่อศาลแขวงในความผิดฐานร่วมกันยักยอกและฉ้อโกง กับมีคำขอให้จำเลยคืนหรือใช้เงินจำนวนหนึ่งแก่ผู้เสียหายคือโจทก์คดีนี้ซึ่งเป็นคำขอในส่วนแพ่งที่พนักงานอัยการโจทก์ฟ้องคดีแทนโจทก์คดีนี้ด้วย เมื่อเงินจำนวนดังกล่าวเป็นรายเดียวกันกับที่โจทก์ฟ้อง และมีคำขอบังคับจำเลยที่ 3 ในคดีนี้โดยโจทก์ยื่นฟ้องในระยะเวลาที่อยู่ในระหว่างการพิจารณาคดีอาญาข้างต้น ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้อนกับคดีส่วนแพ่งในคดีอาญาดังกล่าว ต้องห้ามมิให้โจทก์ฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง (1)ซึ่งอนุโลมมาใช้บังคับตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31.

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 ยักยอกเงินของโจทก์ โดยจำเลยที่ 3 ในฐานะผู้บังคับบัญชามีส่วนรู้เห็น ขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้เงินพร้อมดอกเบี้ยตามฟ้องให้แก่โจทก์
จำเลยทั้งสามให้การว่า ไม่ได้กระทำผิดตามฟ้อง และคดีขาดอายุความแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้เงินพร้อมดอกเบี้ยตามฟ้องให้แก่โจทก์
จำเลยที่ 1 และที่ 3 อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ที่จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ข้อแรกว่า ตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์ข้อ 3 มีความว่า จำเลยที่ 1 ได้ทุจริตเบียดบังยักยอกเงิน ด.ศ.ค. และการที่จำเลยที่ 1 ยักยอกเงินไปเป็นการจงใจทำละเมิด ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดชดใช้เงินจำนวน 3,400 บาท แก่โจทก์ จึงเป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ซึ่งศาลแขวงพระนครเหนือได้พิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 1 ตามคดีอาญาหมายเลขดำที่ 3767/2530 หมายเลขแดงที่16315/2531 ข้อเท็จจริงจึงต้องฟังเป็นยุติว่า จำเลยที่ 1 มิได้ทุจริตเบียดบังยักยอกเงินของโจทก์ตามคำฟ้องคดีนี้ ได้ความว่า จำเลยที่ 1 ได้ถูกฟ้องเป็นจำเลยที่ 2 ในคดีอาญา หมายเลขดำที่ 3767/2530หมายเลขแดงที่ 16315/2531 ในข้อหายักยอกทรัพย์และฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 และ 341 และศาลแขวงพระนครเหนือพิพากษายกฟ้องปรากฏตามภาพถ่ายคำพิพากษาศาลแขวงพระนครเหนือ เอกสารหมาย ล.4ศาลฎีกาพิเคราะห์เอกสารหมาย ล.4 แล้ว ปรากฏว่าพนักงานอัยการโจทก์ได้กล่าวหาจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นจำเลยที่ 2 ในคดีอาญาดังกล่าวว่าได้ร่วมกับจำเลยอื่นยักยอกเงินรายอื่น ซึ่งเป็นเงินรายเดียวกับรายที่โจทก์ฟ้องเรียกจากจำเลยที่ 2 และที่ 3 ในคดีนี้ หาใช่เป็นเงินจำนวน 3,400 บาท ที่โจทก์ฟ้องเรียกจากจำเลยที่ 1 ในคดีนี้ไม่ดังนั้นคดีสำหรับจำเลยที่ 1 นี้จึงมิใช่คดีแพ่งอันเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาซึ่งจะต้องบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา46 ดังข้ออุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 แต่อย่างใด
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ข้อต่อไปว่า โจทก์กล่าวอ้างในคำฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ได้กระทำการทุจริตเบียดบังยักยอกเงินของโจทก์ ศาลแรงงานกลางต้องรับฟังพยานหลักฐานของโจทก์ว่า โจทก์นำสืบได้สมกับที่มีภาระการพิสูจน์หรือไม่ จากการนำสืบของโจทก์ไม่มีข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานใดที่จะพิสูจน์ได้สมตามประเด็นที่กล่าวอ้าง โจทก์จึงต้องเป็นฝ่ายแพ้คดี ศาลฎีกาเห็นว่า จุดประสงค์ของจำเลยที่ 1 ที่ขอให้ศาลฎีกาพิพากษาให้โจทก์เป็นฝ่ายแพ้คดีนี้ มีผลเท่ากับขอให้ศาลฎีการับฟังว่า จำเลยที่ 1 มิได้ปฏิบัติผิดต่อข้อบังคับและมิได้กระทำการทุจริตเบียดบังยักยอกเงินของโจทก์ดังที่ศาลแรงงานกลางรับฟังมาเท่านั้น อุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 จึงเป็นเรื่องโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลางอันเป็นข้อเท็จจริงต้องห้ามอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
จำเลยที่ 3 อุทธรณ์ว่า มูลคดีนี้เป็นเรื่องเดียวกันกับคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1807/2530 ของศาลแขวงพระนครเหนือ ระหว่าง พนักงานอัยการ กรมอัยการ โจทก์ นายดุสิต บุญยากร จำเลย ข้อหายักยอกและฉ้อโกงโดยร่วมกับจำเลยที่ 2 ในคดีนี้ยักยอกเงินของโจทก์ไปหลายครั้งขอให้ลงโทษจำเลยและขอให้จำเลยกับจำเลยที่ 2 ในคดีนี้ร่วมกันคืนหรือใช้เงินจำนวน 1,378,040 บาท ซึ่งมียอดเงินที่โจทก์เรียกร้องจากจำเลยที่ 3 ในคดีนี้รวมอยู่ด้วย พนักงานอัยการได้ยื่นฟ้องคดีอาญดังกล่าวเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2530 และโจทก์ได้ยื่นฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2530 ฟ้องของโจทก์คดีนี้ จึงเป็นฟ้องซ้อนกับคดีอาญาดังกล่าว พิเคราะห์แล้วได้ความว่า เมื่อวันที่ 30 มกราคม2530 พนักงานอัยการ กรมอัยการ ได้เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ในคดีนี้ เป็นจำเลยต่อศาลแขวงพระนครเหนือในฐานความผิดร่วมกันยักยอกและฉ้อโกง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 341, 352พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ.2526 มาตรา 4 และมีคำขอให้จำเลยคืนหรือใช้เงินจำนวน 1,378,040 บาทแก่ผู้เสียหายซึ่งเป็นโจทก์คดีนี้ตามคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1807/2530ของศาลแขวงพระนครเหนือ เงินจำนวนตามคำขอดังกล่าวเป็นรายเดียวกันกับที่โจทก์ฟ้อง และมีคำขอบังคับจำเลยที่ 3 ในคดีนี้โดยโจทก์ได้ยื่นคำฟ้องเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2530 ซึ่งเป็นระยะเวลาที่อยู่ในระหว่างการพิจารณาคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1807/2530 ของศาลแขวงพระนครเหนือ ศาลฎีกาเห็นว่า คำขอให้จำเลยคืนหรือใช้เงินจำนวนดังกล่าวแก่ผู้เสียหายเป็นคำขอในส่วนแห่งที่พนักงานอัยการผู้เป็นโจทก์ฟ้องคดีแทนโจทก์คดีนี้ ซึ่งต้องตกอยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง ที่ว่า”นับแต่เวลาที่ได้ยื่นคำฟ้องแล้ว คดีนั้นอยู่ในระหว่างพิจารณาและผลแห่งการนี้
(1) ห้ามไม่ให้โจทก์ยื่นคำฟ้องเรื่องเดียวกันนั้นต่อศาลเดียวกันหรือต่อศาลอื่น ฯลฯ” จึงเป็นที่เห็นได้ว่าคำขอบังคับของโจทก์ในคดีนี้กับคำขอส่วนแพ่งในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1807/2530 ของศาลแขวงพระนครเหนือ เป็นเรื่องเดียวกันตามความหมายของบทกฎหมายดังกล่าว ฟ้องของโจทก์คดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้อนกับคดีส่วนแพ่งในคดีอาญหมายเลขดำที่ 1807/2530 อันต้องห้ามมิให้โจทก์ยื่นคำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง (1) ซึ่งนำมาใช้บังคับแก่การดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลแรงงาน โดยอนุโลมตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522มาตรา 31 อุทธรณ์ของจำเลยที่ 3 ในปัญหาข้อนี้ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง.

Share