คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 368/2532

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

สิทธิในการบังคับคดีขับไล่จำเลยออกไปจากอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์เป็นสิทธิในทรัพย์สิน มิใช่สิทธิเฉพาะตัว จึงตกทอดไปยังทายาทเมื่อผู้ทรงสิทธิถึงแก่ความตายผู้ร้องเป็นบุตรคนหนึ่งของโจทก์ซึ่งถือว่าเป็นทายาทโดยธรรมตาม ป.พ.พ. มาตรา 1629(1) จึงมีสิทธิขอเข้ารับมรดกความเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแทนโจทก์ และดำเนินการบังคับคดีแก่จำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาได้ แม้ว่าจำเลยจะเป็นบุตรของโจทก์อันเป็นทายาทโดยธรรม มีสิทธิรับมรดกของโจทก์ด้วย ก็มิได้เป็นการตัดสิทธิของผู้ร้องในการขอเข้ารับมรดกความแทนโจทก์แต่ประการใด.

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลฎีกาพิพากษาให้ขับไล่จำเลยออกจากที่ดินของโจทก์ห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้อง หลังจากศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้คู่ความฟัง ผู้ร้องยื่นคำร้องว่าโจทก์ถึงแก่กรรมแล้ว ผู้ร้องเป็นบุตรของโจทก์และเป็นทายาทจึงขอรับมรดกความแทนโจทก์ผู้ตาย จำเลยยื่นคำแถลงคัดค้านว่า การฟ้องขับไล่เป็นสิทธิเฉพาะตัวของโจทก์ ผู้ร้องจึงไม่มีอำนาจร้องขอเข้ารับมรดกความ ผู้ร้องมีสิทธิเพียงฟ้องขอแบ่งมรดกเท่านั้น และผู้ร้องกับจำเลยแถลงรับกันว่าผู้ร้องกับจำเลยต่างก็เป็นบุตรของโจทก์และมีสิทธิได้รับทรัพย์มรดกของโจทก์
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ผู้ร้องเป็นทายาทมีสิทธิได้รับมรดกของโจทก์ สิทธิในการบังคับคดีมิใช่สิทธิเฉพาะตัว จึงตกทอดได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1599 ผู้ร้องในฐานะทายาทจึงมีสิทธิเข้าบังคับคดีนี้ต่อไปได้
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยฎีกาว่า ผู้ร้องกับจำเลยต่างเป็นผู้สืบสันดานและเป็นทายาทโดยธรรมอันดับ 1 ของโจทก์ผู้ตายเช่นเดียวกัน มารดาของผู้ร้องกับจำเลยซึ่งเป็นคู่สมรสของโจทก์ได้ถึงแก่กรรมไปก่อนโจทก์นานแล้ว ดังนั้น เมื่อโจทก์ถึงแก่กรรมลงทรัพย์สินของโจทก์ทั้งหมดรวมทั้งที่ดินสองแปลงที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยจึงเป็นมรดกตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยกับผู้ร้องโดยผลของกฎหมายในทันที สิทธิในการรับมรดกความจึงต้องระงับไปด้วย ผู้ร้องมีสิทธิเพียงอย่างเดียวคือมีสิทธิฟ้องขอแบ่งทรัพย์ดังกล่าวที่จำเลยครอบครองอยู่ หามีสิทธิขอเข้ารับมรดกความอันระงับไปแล้วแทนโจทก์ไม่ ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มีคำสั่งและคำพิพากษาให้ผู้ร้องเป็นผู้รับมรดกความบังคับคดีแทนโจทก์ได้จึงเป็นการมิชอบนั้นพิเคราะห์แล้ว ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1600 บัญญัติว่า “ภายใต้บังคับของบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ กองมรดกของผู้ตายได้แก่ทรัพย์สินทุกชนิดของผู้ตาย ตลอดทั้งสิทธิหน้าที่และความรับผิดต่าง ๆ เว้นแต่ตามกฎหมายหรือว่าโดยสภาพแล้วเป็นการเฉพาะตัวของผู้ตายโดยแท้” เมื่อสิทธิในการบังคับคดีของโจทก์ผู้ตายในคดีนี้เป็นเรื่องฟ้องขับไล่จำเลยออกไปจากอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์ ย่อมเป็นสิทธิในทรัพย์สิน มิใช่เป็นสิทธิเฉพาะตัว สิทธิที่เกี่ยวแก่ทรัพย์สินนี้จึงตกทอดไปยังทายาทเมื่อผู้ทรงสิทธิถึงแก่ความตาย ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าผู้ร้องเป็นบุตรคนหนึ่งของโจทก์ ผู้ร้องจึงเป็นทายาทโดยธรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1629(1)ผู้ร้องย่อมมีสิทธิได้รับทรัพย์มรดกของโจทก์ซึ่งรวมทั้งสิทธิที่เกี่ยวกับทรัพย์สินด้วย ฉะนั้น ผู้ร้องจึงมีสิทธิขอเข้ารับมรดกความเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแทนโจทก์ และดำเนินการบังคับคดีแก่จำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาได้ แม้ว่าจำเลยจะเป็นบุตรของโจทก์อันเป็นทายาทโดยธรรมมีสิทธิรับมรดกของโจทก์ด้วย ก็มิได้เป็นการตัดสิทธิของผู้ร้องในการขอเข้ารับมรดกความแทนโจทก์แต่ประการใด ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มีคำสั่งและคำพิพากษาให้ผู้ร้องเป็นผู้รับมรดกความบังคับคดีแทนโจทก์ได้นั้น ชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share