คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 19332/2556

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ใช้สิทธิไถ่ที่ดินจากจำเลยเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2554 อันเป็นวันครบกำหนดเวลาไถ่ที่ดินซึ่งขายฝาก โดยนำเงินสินไถ่เพื่อไปชำระให้แก่จำเลยที่บ้าน แต่จำเลยบ่ายเบี่ยงอ้างว่าหมดเวลาราชการแล้ว การกระทำของโจทก์ดังกล่าวถือได้ว่าเป็นการใช้สิทธิไถ่ที่ดินซึ่งขายฝากต่อจำเลยภายในเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญาขายฝากโดยชอบตาม ป.พ.พ. มาตรา 492 ประกอบมาตรา 498 แล้ว จำเลยต้องรับการไถ่ แม้โจทก์ใช้สิทธิไถ่ที่ดินนั้นในเวลา 18 นาฬิกา ซึ่งล่วงพ้นเวลาราชการแล้ว และไม่สามารถจดทะเบียนการไถ่ขายฝากที่ดินในวันดังกล่าวได้ก็ตาม แต่การจดทะเบียนไถ่ทรัพย์ซึ่งขายฝาก กฎหมายไม่ได้บัญญัติว่าจะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลาไถ่ทรัพย์คืน เมื่อโจทก์ใช้สิทธิไถ่ทรัพย์สินซึ่งขายฝากนั้นต่อจำเลยภายในกำหนดเวลาไถ่ตามสัญญาขายฝากโดยชอบแล้ว จึงมีผลผูกพันใช้ยันได้ระหว่างโจทก์กับจำเลย โจทก์ย่อมมีสิทธิไถ่ที่ดินซึ่งขายฝากได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 113525 ตำบลหนองขอน อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี คืนโจทก์ และรับเงินสินไถ่จำนวน 48,000 บาท จากโจทก์ หากจำเลยเพิกเฉยให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับเป็นว่า ให้จำเลยรับเงินค่าไถ่ถอนการขายฝาก 48,000 บาท จากโจทก์ แล้วจดทะเบียนไถ่ถอนการขายฝากที่ดินโฉนดเลขที่ 113525 ตำบลหนองขอน อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี โดยให้จำเลยชำระค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนไถ่ถอน หากจำเลยไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้แย้งคัดค้านกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติว่า โจทก์ทำสัญญาขายฝากที่ดินโฉนดเลขที่ 113525 ตำบลหนองขอน อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี ไว้แก่จำเลยเป็นเงิน 43,000 บาท กำหนดไถ่ภายใน 1 ปี นับแต่วันทำสัญญา โดยกำหนดสินไถ่เป็นเงิน 48,000 บาท ต่อมาโจทก์นำเงินสินไถ่ไปวางที่สำนักงานวางทรัพย์จังหวัดอุบลราชธานี เพื่อไถ่การขายฝาก แต่เจ้าพนักงานบังคับคดีปฏิเสธที่จะรับเงินไว้ เนื่องจากพ้นกำหนดไถ่การขายฝากตามคำร้องขอวางทรัพย์
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยเพียงข้อเดียวว่า โจทก์มีสิทธิไถ่ที่ดินซึ่งขายฝากหรือไม่ เห็นว่า โจทก์อ้างตนเองเป็นพยานเบิกความประกอบสัญญาขายฝากที่ดิน และสำเนาคำร้องขอวางทรัพย์ว่า โจทก์นำเงินสินไถ่ จำนวน 48,000 บาท ไปชำระให้จำเลยที่บ้าน แต่ไม่พบจึงโทรศัพท์ไปหาจำเลย ภริยาของจำเลยเป็นผู้รับ แจ้งว่าจำเลยอยู่ที่จังหวัดยโสธร จากนั้นประมาณ 20 นาที โจทก์โทรศัพท์ไปหาจำเลยอีก จำเลยเป็นผู้รับและแจ้งว่าหมดเวลาราชการแล้ว ต่อมาโจทก์ติดต่อจำเลยเพื่อขอไถ่การขายฝากอีก จำเลยแจ้งว่าโจทก์ต้องนำเงิน 100,000 บาท มาชำระเป็นค่าที่ดินให้จำเลย วันรุ่งขึ้นโจทก์จึงนำเงินสินไถ่จำนวน 48,000 บาท ตามสัญญาขายฝากที่ดินไปวางที่สำนักงานวางทรัพย์จังหวัดอุบลราชธานี ตามคำร้องขอวางทรัพย์ เมื่อจำเลยไม่นำสืบหักล้างให้เห็นเป็นอย่างอื่น ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ดังที่โจทก์นำสืบมาว่า เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2554 อันเป็นวันครบกำหนดเวลาไถ่ที่ดินซึ่งขายฝาก โจทก์ใช้สิทธิไถ่ที่ดินจากจำเลยโดยนำเงินสินไถ่เพื่อไปชำระให้แก่จำเลยที่บ้าน แต่ไม่พบจำเลย โจทก์จึงโทรศัพท์แจ้งให้จำเลยทราบ จำเลยบ่ายเบี่ยงอ้างว่าหมดเวลาราชการแล้ว การกระทำของโจทก์ถือได้ว่าเป็นการใช้สิทธิไถ่ที่ดินซึ่งขายฝากต่อจำเลยภายในเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญาขายฝากโดยชอบตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 492 ประกอบมาตรา 498 แล้ว จำเลยต้องรับการไถ่ แม้โจทก์ใช้สิทธิไถ่ที่ดินนั้นในเวลา 18 นาฬิกา ซึ่งล่วงพ้นเวลาราชการแล้ว และไม่สามารถจดทะเบียนการไถ่การขายฝากที่ดินในวันดังกล่าวได้ก็ตาม แต่การจดทะเบียนไถ่ทรัพย์สินซึ่งขายฝากกฎหมายไม่ได้บัญญัติว่าจะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลาไถ่ทรัพย์คืน เมื่อโจทก์ใช้สิทธิในการไถ่ทรัพย์สินซึ่งขายฝากนั้นต่อจำเลยภายในกำหนดเวลาไถ่ตามสัญญาขายฝากโดยชอบแล้ว จึงมีผลผูกพันใช้ยันได้ระหว่างโจทก์กับจำเลย โจทก์ย่อมมีสิทธิไถ่ที่ดินซึ่งขายฝากได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาให้จำเลยรับเงินสินไถ่และจดทะเบียนไถ่การขายฝากที่ดินแก่โจทก์มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share