แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่ผู้ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดียื่นคำร้องขอให้ศาลขยายเวลาการชำระเงินส่วนที่เหลือ และขอให้รับเงินไว้เป็นประกันความเสียหายเพียงส่วนหนึ่ง แล้วคืนเงินมัดจำบางส่วนที่ชำระไว้แล้วโดยอ้างว่าจำเลยกับพวกได้คัดค้านการขายทอดตลาดโดยขอให้เพิกถอนการขาย คดีอยู่ระหว่างพิจารณา นั้นเป็นการขอให้ศาลใช้ดุลพินิจสั่งงดการบังคับคดีไว้ก่อนเพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ซื้อทรัพย์ แม้ผู้ซื้อทรัพย์ชำระเงินส่วนที่ขาดอยู่ให้ครบถ้วนภายในเวลาที่กำหนดไว้เจ้าพนักงานบังคับคดีก็อาจยังไม่เห็นสมควรเสนอรายงานขอให้ศาลแจ้งเจ้าพนักงานที่ดินจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่ผู้ซื้อทรัพย์ได้ เพราะข้อพิพาทเกี่ยวกับการขายทอดตลาดยังไม่ถึงที่สุด และยังไม่อาจทราบได้ว่าศาลจะมีคำวินิจฉัยชี้ขาดว่าการขายทอดตลาดชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ จึงเป็นกรณีมีเหตุสมควรที่ศาลจะสั่งให้งดการชำระราคาส่วนที่ขาดอยู่ไว้ก่อนได้ จนกว่าข้อพิพาทเกี่ยวกับการขายทอดตลาดจะถึงที่สุด และหากเห็นสมควรจะสั่งให้คืนเงินมัดจำแก่ผู้ซื้อทรัพย์ไปบางส่วนคงเหลือไว้เพียงบางส่วนก็ได้ แล้วส่งคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีทราบเพื่อดำเนินการต่อไปตามป.วิ.พ. มาตรา 292(2).
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องจากผู้ซื้อทรัพย์ได้ซื้อที่ดิน 2 แปลงจากการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีในราคา 19,950,000 บาท และได้วางเงินมัดจำเป็นเงิน 4,987,500 บาท ส่วนที่เหลือจะต้องชำระภายใน15 วัน ผู้ซื้อทรัพย์ยื่นคำร้องขอให้ขยายเวลาการชำระเงินส่วนทีเหลือโดยอ้างว่าจำเลยและผู้สู้ราคารายอื่นได้คัดค้านการขายทอดตลาดรายนี้คดีอยู่ระหว่างพิจารณา ขอให้รับเงินไว้เป็นประกันความเสียหายเพียง 5 เปอร์เซ็นต์ แล้วคืนเงินจำนวน 3,990,000 บาทแก่ผู้ซื้อทรัพย์ และขยายระยะเวลาการวางเงินที่ขาดอยู่ไปจนกว่าข้อพิพาทเกี่ยวกับการขายทอดตลาดจะถึงที่สุด
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว มีคำสั่งให้ยกคำร้อง
ผู้ซื้อทรัพย์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
ผู้ซื้อทรัพย์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ผู้ซื้อทรัพย์ได้ซื้อที่ดิน 2 แปลง จากการขายทอดตลาดในคดีนี้ เมื่อวันที่31 ตุลาคม 2532 ในราคา 19,950,000 บาท วางมัดจำแล้ว 4,987,500 บาทส่วนที่เหลือจะต้องชำระภายใน 15 วัน ก่อนพ้นกำหนดวันชำระเงินส่วนที่เหลือ จำเลยคนหนึ่งกับผู้สู้ราคาในการขายทอดตลาดอีกคนหนึ่งได้ยื่นคำร้องคัดค้านการขายทอดตลาดอ้างว่าเป็นการขายที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และขอให้เพิกถอนการขายนั้นเสีย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้นัดไต่สวนคำร้องผู้ซื้อทรัพย์จึงได้ยื่นคำร้องนี้ ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า คำร้องของผู้ซื้อทรัพย์นี้มีจุดประสงค์ขอให้ศาลใช้ดุลพินิจสั่งงดการบังคับคดีไว้ก่อนเพื่อป้องกันมิได้เกิดความเสียหายแก่ผู้ซื้อทรัพย์ นั่นเอง โดยที่ข้อเท็จจริงได้ความว่าแม้ผู้ซื้อทรัพย์ชำระเงินส่วนที่ยังขาดอยู่ให้ครบถ้วนภายในเวลาที่กำหนดไว้ เจ้าพนักงานบังคับคดีก็อาจยังไม่เห็นสมควรเสนอรายงานขอให้ศาลแจ้งเจ้าพนักงานที่ดิน จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้งสองแปลงให้แก่ผู้ซื้อทรัพย์ได้ เพราะข้อพิพาทเกี่ยวกับการขายทอดตลาดยังไม่ถึงที่สุด และยังไม่อาจทราบได้ว่าศาลจะมีคำวินิจฉัยชี้ขาดว่าการขายทอดตลาดชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ จึงเป็นกรณีมีเหตุสมควรที่ศาลจะสั่งให้งดการชำระราคาส่วนที่ขาดอยู่ไว้ก่อนได้ จนกว่าข้อพิพาทเกี่ยวกับการขายทอดตลาดจะถึงที่สุด และหากเห็นสมควรจะให้คืนเงินมัดจำแก่ผู้ซื้อทรัพย์ไปบางส่วนคงเหลือไว้เพียงบางส่วนก็ได้ แล้วส่งคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีทราบเพื่อดำเนินการต่อไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 292(2) สำหรับกรณีของผู้ซื้อทรัพย์รายนี้ ปรากฏว่า ได้วางเงินมัดจำไว้แล้วร้อยละ 25ของราคา และเมื่อมีกรณีขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดเช่นนี้ผู้ซื้อทรัพย์จึงได้ขอคืนเงินมัดจำบางส่วนคงเหลือไว้เพียงร้อยละ 5ของราคา เป็นเงิน 997,500 บาท ซึ่งศาลฎีกาเห็นว่าเป็นการขอคืนไปมากและเหลือไว้น้อยเกินไป เห็นสมควรกำหนดเสียใหม่ให้เหมาะสมโดยคืนให้ร้อยละ 15 ของราคาเป็นเงิน 2,992,500 บาท คงเหลือไว้ร้อยละ 10 ของราคาเป็นเงิน 1,995,000 บาท
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้คืนเงินมัดจำแก่ผู้ซื้อทรัพย์เป็นจำนวน2,992,500 บาท คงเหลือไว้ 1,995,000 บาท และให้งดการชำระราคาที่ขาดอยู่ไว้ก่อนจนกว่าศาลจะได้วินิจฉัยชี้ขาดถึงที่สุดว่าการขายทอดตลาดชอบด้วยกฎหมายแล้ว จึงให้ดำเนินการต่อไป แจ้งคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีทราบ.