คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 367/2472

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การวินิจฉัยคดีส่วนแพ่งซึ่งว่ากล่าวเป็นทางอาญาไว้อีกสำนวนหนึ่งนั้นต้องถือเอาความเท็จจริงที่ปรากฎในคำพิพากษาส่วนอาญาเป็นหลักแห่งการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง พ.ร.บ.ฎีกาอุทธรณ์ คดีแพ่งแลคดีอาญา ซึ่งคู่ความคนเดียวกันแลมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยอย่างเดียวกัน เมื่อคดีอาญาศาลล่างตัดสินในข้อเท็จจริงต้องกันแล้ว ในคดีแพ่งถึงแม้จะมีทุนทรัพย์เกิน 2000 บาทก็ต้องฟังข้อเท็จจริงตามคดีอาญา

ย่อยาว

คดีนี้โจทย์ฟ้องขอแบ่งผลกำไรเป็นเงิน ๒๑๖๗ บาท ๓๖ สตางค์โดยกล่าวว่า โจทก์จำเลยเป็นหุ้นส่วนกัน
ศาลเดิมแลศาลอุทธรณ์ตัดสินว่า โจทก์ได้ฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาเรื่องหนึ่งหาว่าจำเลยยักยอกไม้ของหุ้นส่วน ศาลฟังข้อเท็จจริงในคดีอาญาว่า โจทก์มิได้เป็นหุ้นส่วนกับจำเลย ข้อเท็จจริงในคดีนี้ต้องฟังตามคดีอาญา จึงให้ยกฟ้องโจทก์เสีย
โจทก์ฎีกาว่า ๑. คดีอาญาเรื่องนั้นไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ จะฟังข้อเท็จจริงในคดีอาญามาตัดสำนวนเรื่องนี้ไม่ได้ ๒. ในการพิจารณาคดีอาญาโจทก์มีพะยานเอกสารมาสืบ จะฟังพะยานบุคคลของจำเลยมาลบล้างพะยานเอกสารไม่ได้
ศาลฎีกาเห็นว่า ในฎีกาข้อ ๑ นั้น เมื่อคดีแพ่งเรื่องนี้กับคดีอาญาเรื่องก่อนมข้อเท็จจริงอย่างเดียวกันว่าโจทก์เป็นหุ้นส่วนกับจำเลยหรือไม่ จึงเป็นอันฟังไม่ขึ้น ส่วนในข้อ ๒ ก็ไม่เป็นปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยเพราะคดีนี้ศาลไม่ได้สืบพะยานโจทก์จำเลย แลกรรมการยังเห็นต่อไปว่า คดีนี้มีทุนทรัพย์เกิน ๒๐๐๐ บาท ซึ่งโจทก์มีสิทธิฎีกาได้ทั้งในปัญหาข้อเท็จจริงแลข้อกฎหมาย แต่ข้อเท็จจริงในเรื่องที่โจทก์จะเป็นหุ้นส่วนกับจำเลยหรือไม่นั้น ศาลล่างได้วินิจฉัยในคดีอาญาไว้แล้วว่า โจทก์ไม่ได้เป็นหุ้นส่วนกับจำเลย แม้ข้อเท็จจริงนี้ศาลฎีกาจะยังมิได้วินิจฉัยก็ดี แต่จะมาวินิจฉัยในคดีแพ่งนี้อีกไม่ได้ โดยมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในคดีอาญานั้นอยู่แล้ว จึงตัดสินใหยกฎีกาของโจทก์เสีย ให้บังคับคดีไปตามคำตัดสินศาลล่างแลให้โจทก์เสียค่าธรรมเนียมแลค่าทนายชั้นฎีกาแทนจำเลย

Share