แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้งดการบังคับคดีและขอวางเงินโดยมีเงื่อนไข ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งของศาลชั้นต้นให้ยกคำร้องของผู้ร้อง เมื่อปรากฏว่าโจทก์ได้ถอนการยึดที่ดินทั้งสองแปลงที่ผู้ร้องขอให้งดการบังคับคดีและเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ถอนการยึดแล้ว จึงไม่มีประโยชน์ที่จะพิจารณาฎีกา ของผู้ร้องที่ว่าผู้ร้องมีสิทธิยื่นคำร้องดังกล่าวหรือไม่ ศาลฎีกามีอำนาจจำหน่ายคดี
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอมเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2526 ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้ให้แก่โจทก์เป็นเงิน2,139,820.34 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 18 ต่อปีนับถัดจากวันฟ้อง โดยผ่อนชำระหนี้ให้แก่โจทก์เป็นรายงวด งวดละ300,000 บาท งวดแรกภายในเดือนมิถุนายน 2527 งวดต่อไปภายในเดือนมิถุนายนของทุกปีถัดไปจนกว่าจะครบ เมื่อจำเลยทั้งสองชำระหนี้ให้แก่โจทก์ในงวดแรกแล้ว โจทก์จะงดการคิดดอกเบี้ยตั้งแต่วันชำระหนี้เป็นต้นไปและยอมให้จำเลยทั้งสองขายที่ดินอันเป็นทรัพย์สินที่จำนองให้แก่บุคคลภายนอกคราวละแปลงหรือหลายแปลงถ้าโจทก์เห็นว่าเป็นราคาที่สมควร และจำเลยทั้งสองจะต้องนำเงินที่ขายที่ดินได้มาชำระหนี้ให้แก่โจทก์ทั้งสอง หากเงินที่ขายที่ดินแปลงใดได้ไม่ถึง 300,000 บาทจำเลยทั้งสองจะต้องชำระเงินเพิ่มจนครบ แต่ถ้าได้เกิน 300,000 บาทให้ถือเอาส่วนที่เกินเป็นการชำระหนี้ให้แก่โจทก์ในงวดต่อไปถ้าส่วนที่เกินไม่ถึง 300,000 บาท จำเลยทั้งสองจะต้องชำระเงินเพิ่มจนครบสำหรับงวดต่อไปนั้นเช่นกัน หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้ให้แก่โจทก์หรือผิดนัดงวดใดงวดหนึ่งให้ถือว่าผิดนัดทั้งหมด ยอมให้โจทก์คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 17.5 ต่อปี ของต้นเงินที่ค้างชำระนับแต่วันผิดนัดและให้โจทก์บังคับคดีได้ทันทีโดยยึดที่ดินที่จำนองไว้แก่โจทก์ออกขายทอดตลาดนำเงินมา ชำระหนี้ให้แก่โจทก์หากไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนครบ จำเลยทั้งสองผิดนัด โจทก์จึงขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาตามยอม เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดที่ดินของจำเลยที่ 1 เพื่อขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญาจะขายที่ดินโฉนดเลขที่ 3346 และ 3528 ตำบลทุ่งลูกนก อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐมซึ่งเป็นทรัพย์จำนองในคดีนี้ให้แก่ผู้ร้อง แล้วผิดสัญญา ผู้ร้องยื่นฟ้องจำเลยที่ 1 ศาลอุทธรณ์และศาลจังหวัดนครปฐมมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนที่ดินทั้งสองแปลงตามลำดับให้แก่ผู้ร้องโดยปลอดจำนองและให้ผู้ร้องชำระราคาที่ดินส่วนที่เหลือให้แก่จำเลยที่ 1 ที่ดินทั้งสองแปลงเป็นของผู้ร้องตามคำพิพากษาผู้ร้องเป็นผู้เสี่ยงภัยเสียสิทธิในที่ดินทั้งสองแปลงเพราะการบังคับคดีของโจทก์และประสงค์จะให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนที่ดินทั้งสองแปลงให้แก่ผู้ร้องโดยปลอดจำนอง อาศัยบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 230 ผู้ร้องจึงขอวางเงินที่ต้องชำระราคาที่ดินในส่วนที่เหลือของที่ดินทั้งสองแปลงตามคำพิพากษาเพื่อชำระหนี้จำนองให้แก่โจทก์แทนจำเลยที่ 1 และค่าธรรมเนียมถอนการยึดที่ดินทั้งสองแปลง โดยมีเงื่อนไขว่าโจทก์จะรับเงินไปได้ต่อเมื่อได้ปลดจำนองและนำหลักฐานพร้อมโฉนดที่ดินมอบต่อศาลเพื่อให้ผู้ร้องรับไปดำเนินการตามคำพิพากษาซึ่งจำนวนเงินที่ผู้ร้องขอวางนี้เกินกว่าภาระจำนองที่ดินทั้งสองแปลงที่ได้จดทะเบียนจำนองเป็นประกันการชำระหนี้ ซึ่งมีดังนี้ขอให้มีคำสั่งงดการบังคับคดีและให้โจทก์รับเงินรวมทั้งปลดจำนองโดยมอบหลักฐานและโฉนดที่ดินทั้งสองแปลงเพื่อให้ผู้ร้องรับไปดำเนินการตามคำพิพากษา
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า จำเลยทั้งสองผิดนัดไม่ชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์มีสิทธิบังคับคดีตามคำพิพากษาตามยอมและสัญญาประนีประนอมยอมความได้ คือดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 17.5 ต่อปีของต้นเงินที่ค้างชำระนับแต่วันผิดนัดและยึดทรัพย์สินที่จำนองทั้งหมดซึ่งรวมทั้งที่ดินโฉนดเลขที่ 3346 และ 3528 ตำบลทุ่งลูกนกอำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์ ถ้าได้เงินไม่พอชำระหนี้โจทก์มีสิทธิยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนครบการที่ผู้ร้องขอวางเงินเพื่อชำระหนี้จำนองให้แก่โจทก์แทนจำเลยที่ 1ตามที่คิดคำนวณมานั้นไม่ถูกต้องเป็นที่เสื่อมเสียแก่สิทธิของโจทก์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 230 วรรคสอง และโจทก์มีสิทธิจะบังคับคดีเอาทรัพย์สินที่จำนองทั้งหมดออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนครบจำนวนตามคำพิพากษาตามยอมอยู่ก่อนแล้วขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว มีคำสั่งยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้งดการบังคับคดีและขอวางเงินโดยมีเงื่อนไขว่าโจทก์จะรับเงินดังกล่าวไปได้ต่อเมื่อได้ปลดจำนองและนำหลักฐานพร้อมโฉนดที่ดินมอบต่อศาลเพื่อให้ผู้ร้องรับไปดำเนินการตามคำพิพากษาคงมีปัญหาขึ้นสู่ศาลฎีกาว่าผู้ร้องมีสิทธิยื่นคำร้องดังกล่าวหรือไม่ ปรากฏตามฎีกาของผู้ร้องว่าโจทก์ได้ถอนการยึดที่ดินทั้งสองแปลงที่ผู้ร้องขอให้งดการบังคับคดี และปรากฏตามสำเนาหนังสือของเจ้าพนักงานบังคับคดี หัวหน้าสำนักงานบังคับคดีและวางทรัพย์ประจำศาลจังหวัดนครปฐม (2 ฉบับ) ที่เจ้าพนักงานบังคับคดีรับรองสำเนาถูกต้องแนบท้ายฎีกาว่าโจทก์ขอถอนการยึดที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวและเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ถอนการยึดแล้ว จึงไม่มีประโยชน์ที่จะพิจารณาฎีกาของผู้ร้องต่อไปให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความ