คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3667/2545

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้โจทก์จะฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289อันเป็นคดีที่มีอัตราโทษประหารชีวิต ซึ่งศาลชั้นต้นต้องถามจำเลยก่อนเริ่มพิจารณาว่ามีทนายความหรือไม่ ถ้าไม่มีก็ให้ศาลตั้งให้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 173 วรรคแรก ก็ตามแต่ก็เป็นบทบัญญัติสำหรับดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลที่มีอำนาจพิจารณาคดีธรรมดา ส่วนศาลที่มีอำนาจพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัวนั้นพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัวฯ มาตรา 6 ให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาใช้บังคับเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้ เมื่อมาตรา 83แห่ง พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัวฯ ที่ระบุให้จำเลยมีที่ปรึกษากฎหมายเพื่อปฏิบัติหน้าที่ทำนองเดียวกับทนายความ หากจำเลยไม่มีที่ปรึกษากฎหมายก็ให้ศาลแต่งตั้งให้เว้นแต่จำเลยไม่ต้องการและศาลเห็นว่าไม่จำเป็นแก่คดีจะไม่ตั้งที่ปรึกษากฎหมายก็ได้นั้น ถือเป็นกฎหมายเฉพาะย่อมยกเว้น ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 173 ซึ่งเป็นบททั่วไปจึงไม่อาจนำมาใช้ในกรณีนี้ได้ ดังนั้น ที่ศาลเยาวชนและครอบครัวกลางจดรายงานกระบวนพิจารณาว่า จำเลยไม่ต้องการที่ปรึกษากฎหมาย และศาลเห็นว่าไม่จำเป็นต้องตั้งที่ปรึกษากฎหมาย จึงให้นัดสืบพยาน… จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ชอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัวฯ มาตรา 83 ครบถ้วนแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2529 เวลาประมาณ 18 นาฬิกา จำเลยกับพวกอีก 1 คน ที่หลบหนียังไม่ได้ตัวมาฟ้อง (ขณะเกิดเหตุจำเลยเป็นเยาวชนอายุ 17 ปีเศษ)ได้ร่วมกันชิงทรัพย์เอาสร้อยคอทองคำหนัก 1 บาท เหรียญเสมารูปรัชกาลที่ 5 สร้อยข้อมือทองคำหนัก 2 สลึง แหวนทองคำหัวนิลล้อมเพชรของนางอนงค์ ยิ้มชาญกาญจน์ผู้เสียหาย และเอานาฬิกาข้อมือจำนวน 1 เรือน ของนายชลอ ภู่พัฒน์ ผู้เสียหาย ซึ่งเป็นนายจ้างของจำเลยไปโดยทุจริต ในการชิงทรัพย์จำเลยกับพวกมีเจตนาฆ่านางอนงค์และนายชลอให้ถึงแก่ความตาย โดยจำเลยกับพวกร่วมกันใช้กำลังประทุษร้ายด้วยการใช้ไม้ท่อนเหลี่ยมขนาดกว้าง 4 นิ้ว หนา 2 นิ้ว ยาว 3 ฟุต และ 3 ฟุตเศษ จำนวน 2 ท่อนเป็นอาวุธตีที่ศีรษะ ใบหน้าและลำตัวของนางอนงค์และนายชลอหลายครั้ง จนเป็นเหตุให้นางอนงค์และนายชลอถึงแก่ความตายสมดังเจตนาของจำเลยกับพวก การกระทำของจำเลยกับพวกก็เพื่อสะดวกแก่การชิงทรัพย์ เพื่อยึดถือเอาทรัพย์นั้นไว้ เพื่อพาเอาทรัพย์ไปเพื่อจะเอาไว้ซึ่งผลประโยชน์อันเกิดแก่การที่ตนได้กระทำความผิดฐานลักทรัพย์ เพื่อปกปิดความผิดและเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาที่ได้กระทำไป เหตุเกิดที่แขวงบางอ้อ เขตบางพลัดกรุงเทพมหานคร ต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจได้ยึดไม้ท่อนจำนวน 2 ท่อนที่ใช้เป็นอาวุธฆ่าผู้ตายในบริเวณที่เกิดเหตุ กางเกงขายาว 1 ตัว บัตรประจำตัวประชาชนของจำเลยกับพวกพร้อมกระเป๋าสตางค์พลาสติก 1 ใบ เป็นของกลางนำส่งพนักงานสอบสวน ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 289, 339 และให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์จำนวน 10,000 บาท แก่ทายาทของนางอนงค์ ยิ้มชาญกาญจน์ ผู้ตาย และจำนวน1,000 บาท แก่ทายาทของนายชลอ ภู่พัฒน์ ผู้ตายด้วย

จำเลยให้การรับสารภาพ และแถลงไม่ต้องการที่ปรึกษากฎหมาย

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289,339 วรรคท้าย, 83 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด ขณะกระทำความผิดจำเลยอายุ 17 ปีเศษ ลดมาตราส่วนโทษให้จำเลยกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 ประกอบด้วยมาตรา 52(2) ลงโทษจำคุก 30 ปีจำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกมีกำหนด 15 ปี ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์จำนวน 10,000 บาท แก่ทายาทของนางอนงค์ ยิ้มชาญกาญจน์ ผู้ตาย และจำนวน 1,000 บาท แก่ทายาทของนายชลอ ภู่พัฒน์ ผู้ตายด้วย

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่โดยให้ตั้งที่ปรึกษากฎหมายให้จำเลยก่อนทำการสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การที่ศาลชั้นต้นไม่แต่งตั้งที่ปรึกษากฎหมายให้จำเลยนั้นเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ชอบหรือไม่ ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่พิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีนี้แม้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289อันเป็นคดีที่มีอัตราโทษประหารชีวิต ซึ่งศาลชั้นต้นต้องถามจำเลยก่อนเริ่มพิจารณาว่าจำเลยมีทนายหรือไม่ ถ้าไม่มีก็ให้ศาลตั้งทนายให้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 173 วรรคแรกก็ตาม แต่กฎหมายดังกล่าวบัญญัติไว้สำหรับการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีอาญาที่ได้กระทำในศาลที่มีอำนาจพิจารณาคดีธรรมดา ส่วนในศาลที่มีอำนาจพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัวนั้น ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2534มาตรา 6 บัญญัติให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาใช้บังคับแก่คดีเยาวชนและครอบครัวเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับบทแห่งพระราชบัญญัตินี้เมื่อตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว ได้มีบทบัญญัติในเรื่องดังกล่าวไว้โดยเฉพาะตามมาตรา 83 ว่า “ในศาลที่มีอำนาจพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว จำเลยจะมีทนายความแก้คดีแทนไม่ได้ แต่ให้จำเลยมีที่ปรึกษากฎหมายเพื่อปฏิบัติหน้าที่ทำนองเดียวกันกับทนายความได้ในกรณีที่จำเลยไม่มีที่ปรึกษากฎหมาย ให้ศาลแต่งตั้งที่ปรึกษากฎหมายให้ เว้นแต่จำเลยนั้นไม่ต้องการและศาลเห็นว่าไม่จำเป็นแก่คดี จะไม่แต่งตั้งที่ปรึกษากฎหมายก็ได้” ดังนั้นการแต่งตั้งที่ปรึกษากฎหมายในศาลที่มีอำนาจพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัวไม่ว่าความผิดที่จำเลยถูกฟ้องนั้นมีอัตราโทษประหารชีวิตหรือไม่ก็ตาม ให้ศาลแต่งตั้งที่ปรึกษากฎหมายให้จำเลยเว้นแต่จำเลยไม่ต้องการที่ปรึกษากฎหมายและศาลเห็นว่าที่ปรึกษากฎหมายไม่จำเป็นแก่คดี เมื่อเข้าข้อยกเว้นทั้งสองประการนี้แล้วศาลจะไม่แต่งตั้งที่ปรึกษากฎหมายให้จำเลยก็ได้ บทกฎหมายดังกล่าวถือได้ว่าเป็นกฎหมายเฉพาะย่อมยกเว้นประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 173 อันเป็นกฎหมายทั่วไป และไม่อาจนำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาดังกล่าวซึ่งขัดหรือแย้งต่อพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2534 มาใช้ในกรณีนี้ได้ เหตุนี้เมื่อจำเลยซึ่งอายุเกินสิบแปดปีบริบูรณ์แล้วขณะที่โจทก์ยื่นฟ้อง แต่เนื่องจากขณะกระทำความผิดจำเลยมีอายุไม่ถึงสิบแปดปีบริบูรณ์จึงต้องดำเนินคดีในศาลที่มีอำนาจพิจารณาคดีเยาวชนตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2534 มาตรา 5การแต่งตั้งที่ปรึกษากฎหมายให้จำเลย ก็ต้องปฏิบัติตามมาตรา 83 อันเป็นบทเฉพาะหาใช่ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 173 อันเป็นบททั่วไปไม่การที่ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง ซึ่งเป็นศาลที่มีอำนาจพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัวจดรายงานกระบวนพิจารณาในวันที่ 22 พฤษภาคม 2541 ว่า “นัดสอบถามวันนี้อ่านและอธิบายคำฟ้องให้จำเลยฟังแล้ว จำเลยให้การรับสารภาพในข้อหาตามฟ้องและไม่ต้องการที่ปรึกษากฎหมายจำเลย ศาลเห็นว่าไม่จำเป็นต้องตั้งที่ปรึกษากฎหมายจำเลยจึงให้นัดสืบพยานประกอบคำรับสารภาพในวันที่…” เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ชอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2534 มาตรา 83 ครบถ้วนทุกประการ ที่ศาลอุทธรณ์ให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น โดยเห็นว่าการดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลชั้นต้นไม่ชอบนั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัว ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”

พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาคดีใหม่ แล้วพิพากษาตามรูปคดี

Share