แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
บันทึกการฟ้องคดีด้วยวาจาของโจทก์เป็นเพียงหลักฐานการฟ้องคดีด้วยวาจาเพื่อความสะดวกที่ศาลจะบันทึกการฟ้องด้วยวาจาลงในแบบพิมพ์ของศาลได้รวดเร็วขึ้นเท่านั้น หาใช่การฟ้องคดีด้วยวาจาไม่ การฟ้องด้วยวาจาตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 มาตรา 19 บัญญัติให้โจทก์แจ้งต่อศาลถึงชื่อโจทก์ ชื่อ ที่อยู่และสัญชาติของจำเลย ฐานความผิด การกระทำที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำความผิดและอื่น ๆ อีกหลายประการ การที่บันทึกคำฟ้อง คำรับสารภาพและคำพิพากษาในคดีนี้ระบุว่าจำเลยกระทำความผิดฐานจัดตั้งสถานบริการโดยไม่ได้รับอนุญาตและโจทก์ลงลายมือชื่อไว้ ถือว่าโจทก์แจ้งต่อศาลถึงฐานความผิดและการกระทำที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำความผิดแล้ว โจทก์ไม่อาจอ้างได้ว่าเป็นความพลั้งเผลอของเจ้าหน้าที่ศาล เมื่อบันทึกของศาลระบุว่าจำเลยกระทำความผิดฐานตั้งสถานบริการโดยไม่ได้รับอนุญาต แสดงว่าโจทก์ประสงค์ฟ้องจำเลยในความผิดฐานดังกล่าวเพียงสถานเดียว ศาลชั้นต้นจึงไม่อาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานจำหน่ายสุราเกินเวลาที่กฎหมายกำหนดซึ่งไม่ได้กล่าวในบันทึกคำฟ้องของศาลได้ แม้ศาลชั้นต้นจะลงโทษจำเลยในฐานความผิดฐานตั้งสถานบริการโดยฝ่าฝืนกฎหมายอีกฐานหนึ่งก็เป็นการพิพากษาเกินจากที่โจทก์ได้กล่าวในบันทึกคำฟ้องของศาลต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคหนึ่ง ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงฯ มาตรา 4 มิใช่ศาลชั้นต้นปรับบทผิดตามที่โจทก์ฎีกา
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติสถานบริการ พ.ศ.2509 มาตรา 3, 4, 26, 27
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติสถานบริการ พ.ศ.2509 มาตรา 3 (5), 4, 26, 27 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานตั้งสถานบริการโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 6 เดือน และปรับ 20,000 บาท ฐานตั้งสถานบริการโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ปรับ 10,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ฐานตั้งสถานบริการโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 3 เดือน และปรับ 10,000 บาทฐานตั้งสถานบริการโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ปรับ 5,000 บาท รวมจำคุก 3 เดือน และปรับ 15,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษมีกำหนด 1 ปี ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่ลงโทษจำเลยฐานตั้งสถานบริการโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 ไม่ลงโทษจำเลยในความผิดฐานจำหน่ายสุราเกินเวลาที่กฎหมายกำหนด ชอบหรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาว่า บันทึกการฟ้องคดีอาญาด้วยวาจาของโจทก์ได้ฟ้องจำเลยขอให้ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยฐานเปิดสถานบริการโดยไม่ได้รับอนุญาตและจำหน่ายสุราเกินเวลาที่กฎหมายกำหนด จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลย 2 กระทง แต่ศาลชั้นต้นปรับบทลงโทษผิด และการที่บันทึกคำฟ้องของศาลชั้นต้นระบุว่า จำเลยกระทำความผิดฐานตั้งสถานบริการโดยไม่ได้รับอนุญาตเพียงฐานเดียว เห็นได้ชัดว่า เป็นกรณีที่เจ้าหน้าที่ของศาลชั้นต้นบันทึกคำฟ้องไม่ครบถ้วนตามบันทึกการฟ้องคดีอาญาด้วยวาจาของโจทก์เท่านั้น ซึ่งเป็นความพลั้งเผลอของเจ้าหน้าที่ ไม่ได้หมายความว่าโจทก์ประสงค์จะฟ้องจำเลยในความผิดฐานตั้งสถานบริการโดยไม่ได้รับอนุญาตเพียงฐานเดียวนั้น เห็นว่า แม้บันทึกการฟ้องคดีอาญาด้วยวาจาของโจทก์ ฉบับลงวันที่ 20 มีนาคม 2553 ระบุว่าจำเลยกระทำความผิดฐานตั้งสถานบริการโดยไม่ได้รับอนุญาตและฐานจำหน่ายสุราเกินเวลาที่กฎหมายกำหนดโดยไม่ได้รับอนุญาตก็ตาม แต่บันทึกการฟ้องคดีอาญาด้วยวาจาดังกล่าวเป็นเพียงหลักฐานการฟ้องคดีอาญาด้วยวาจาและเป็นความสะดวกที่ศาลจะบันทึกการฟ้องด้วยวาจาลงในแบบพิมพ์ของศาลได้รวดเร็วขึ้นเท่านั้น หาใช่ฟ้องด้วยวาจาตามกฎหมายไม่ การฟ้องด้วยวาจาตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 มาตรา 19 บัญญัติให้โจทก์แจ้งต่อศาลถึงชื่อโจทก์ ชื่อ ที่อยู่และสัญชาติของจำเลย ฐานความผิด การกระทำที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำความผิดและอื่น ๆ อีกหลายประการ การที่บันทึกคำฟ้อง คำรับสารภาพ และคำพิพากษาตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงฯ มาตรา 20 ฉบับลงวันที่ 20 มีนาคม 2553 ระบุว่า จำเลยกระทำความผิดฐานจัดตั้งสถานบริการโดยไม่ได้รับอนุญาตและโจทก์ลงลายมือชื่อไว้ ถือว่าโจทก์แจ้งต่อศาลถึงฐานความผิดและการกระทำที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำความผิดแล้ว โจทก์ไม่อาจอ้างได้ว่าเป็นความพลั้งเผลอของเจ้าหน้าที่ศาล เมื่อบันทึกคำฟ้องของศาลระบุว่าจำเลยกระทำความผิดฐานตั้งสถานบริการโดยไม่ได้รับอนุญาต แสดงว่าโจทก์ประสงค์ฟ้องจำเลยในความผิดฐานดังกล่าวเพียงสถานเดียว ศาลชั้นต้นจึงไม่อาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานจำหน่ายสุราเกินเวลาที่กฎหมายกำหนดซึ่งไม่ได้กล่าวไว้ในบันทึกคำฟ้องของศาลได้ แม้ศาลชั้นต้นจะลงโทษจำเลยในความผิดฐานตั้งสถานบริการโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายอีกฐานหนึ่งก็เป็นการพิพากษาเกินจากที่โจทก์ได้กล่าวในบันทึกคำฟ้องของศาลต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 มาตรา 4กรณีมิใช่ศาลชั้นต้นปรับบทผิดดังที่โจทก์ฎีกา ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน