แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่าเกิดเหตุระหว่างวันที่ 17 ธันวาคม 2526 ถึงวันที่19 ธันวาคม 2526 วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนว่าในวันที่ 13 ธันวาคม 2526 จำเลยลักอะไหล่รถยนต์ของผู้เสียหายรวม 5 กล่องนำไปฝากไว้กับ ม. และในวันที่ 15ธันวาคม 2526 จำเลยได้ลักเอาอะไหล่รถยนต์อีก 5 กล่องไปฝากไว้กับ ม. อีกเช่นกัน แต่ในชั้นพิจารณาจำเลยนำสืบว่า จำเลยมิได้รับสารภาพต่อพนักงานสอบสวน และจำเลยไม่รู้จักกับ ม. ดังนี้จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยลักอะไหล่รถยนต์ของผู้เสียหายไปในวันที่ 13 และ 15 ธันวาคม 2526 ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการพิจารณาจึงมิได้แตกต่างกับข้อเท็จจริงที่โจทก์ฟ้อง.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335, 357, 83 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา(ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2525 มาตรา 11 และให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนจำนวน 710,968.79 บาท
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา335 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 5)พ.ศ. 2525 มาตรา 11 ให้จำคุก 7 ปี กับให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนจำนวน 710,968.79 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์บรรยายฟ้องกล่าวหาจำเลยกระทำผิดระหว่างวันที่ 17 ถึงวันที่ 19 ธันวาคม 2526 เวลาใดไม่ปรากฏชัดแต่ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยลักอะไหล่รถยนต์ของผู้เสียหายไปเมื่อวันที่ 13 และวันที่ 15 ธันวาคม 2526 ข้อเท็จจริงในทางพิจารณาเกี่ยวกับวันเวลากระทำผิดต่างกับฟ้องและจำเลยหลงข้อต่อสู้ไม่อาจลงโทษจำเลยได้ พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกาว่า จำเลยกระทำผิดในระหว่างวันเวลาที่โจทก์ฟ้องและจำเลยมิได้หลงต่อสู้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘….นอกจากนายบุญรอด บุญวิสุทธิ์ พยานโจทก์ซึ่งพักอยู่ที่บ้านพักคนงานของผู้เสียหายในบริเวณที่เกิดเหตุเบิกความว่า เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2526 เวลา 8 นาฬิกา นายบุญรอดเห็นจำเลยใช้ท่อนเหล็กทุบกระจกหน้าต่างห้องเก็บอะไหล่รถยนต์ของผู้เสียหายแล้ว ร้อยตำรวจตรีวารินทร์ ทองตรา ผู้จับกุมจำเลยและร้อยตำรวจตรีโยธิน ผูกเกษร พนักงานสอบสวนก็เบิกความว่า เมื่อจับกุมจำเลยชั้นแรกจำเลยให้การปฏิเสธ ครั้นพิมพ์ลายนิ้วมือจำเลยเพื่อตรวจกับลายนิ้วมือคนร้ายที่ติดอยู่กับกระจกหน้าต่างห้องเก็บอะไหล่รถยนต์ จำเลยจึงให้การรับสารภาพว่าลักอะไหล่รถยนต์ของผู้เสียหายไปโดยฝากไปกับนายมานะ พงษ์วานิชกิจจำเลยนำชี้ที่เกิดเหตุตั้งแต่จำเลยทุบกระจกหน้าต่างห้องเก็บอะไหล่รถยนต์แล้วจำเลยเข้าไปในห้องดังกล่าวลักเอาอะไหล่รถยนต์ของผู้เสียหายไปให้พนักงานสอบสวนถ่ายภาพไว้ และจำเลยพาร้อยตำรวจตรีวารินทร์ติดตามไปยึดอะไหล่รถยนต์ของผู้เสียหายที่บ้านนายมานะมาเป็นของกลางด้วย ของกลางที่ยึดมาได้มีจำนวนมากเกือบเต็มรถยนต์ปิคอัพเฉพาะที่บรรจุกล่องซึ่งมีชื่อห้างผู้เสียหายประมาณ 20 กล่อง ฝ่ายจำเลยนำสืบว่า ตามวันเวลาที่โจทก์กล่าวหาจำเลยนั้น วันที่ 17 ธันวาคม 2526 จำเลยไปทำงานตามปกติ รุ่งขึ้นเป็นวันอาทิตย์ จำเลยอยู่ที่บ้านจำเลยและจำเลยมิได้ให้การรับสารภาพต่อพนักงานสอบสวนตามที่โจทก์และจำเลยนำสืบดังกล่าว การที่จำเลยให้การรับสารภาพและนำชี้ที่เกิดเหตุตั้งแต่จำเลยทุบกระจกหน้าต่างห้องเก็บอะไหล่รถยนต์แล้วถอดกลอนเข้าไปลักอะไหล่รถยนต์ของผู้เสียหายไป ตลอดจนพาตำรวจติดตามยึดอะไหล่รถยนต์ที่จำเลยลักไปคืนมาได้เป็นของกลางนั้น เป็นหลักฐานที่ประกอบคำเบิกความของนายบุญรอดว่า จำเลยลักอะไหล่รถยนต์ของผู้เสียหายไปในระหว่างวันเวลาที่โจทก์ฟ้องดังที่นายบุญรอดเบิกความ อนึ่งอะไหล่รถยนต์ของผู้เสียหายที่จำเลยลักเอาไปมีจำนวนมากต้องบรรทุกรถยนต์ไปจึงเชื่อว่าจำเลยกับพวกร่วมกันลักอะไหล่รถยนต์ดังกล่าวซึ่งเป็นของนายจ้างจำเลยไป ส่วนคำให้การรับสารภาพของจำเลยในชั้นสอบสวนตามเอกสารหมาย จ.9 ซึ่งจำเลยให้การว่าในวันที่ 13 ธันวาคม 2526 จำเลยลักอะไหล่รถยนต์ของผู้เสียหายรวม 5 กล่องฝากไปกับนายมานะและในวันที่ 15 ธันวาคม 2526 จำเลยลักอะไหล่รถยนต์อีกรวม 5 กล่องฝากไปกับนายมานะเช่นเดียวกันนั้น ในชั้นพิจารณาจำเลยนำสืบว่า จำเลยมิได้ให้การรับสารภาพต่อพนังกานสอบสวนและจำเลยไม่รู้จักกับนายมานะ ดังนี้ ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยลักอะไหล่รถยนต์ของผู้เสียหายไปในวันที่ 13 และวันที่ 15ธันวาคม 2526 ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการพิจารณาจึงมิได้แตกต่างกับข้อเท็จจริงที่โจทก์ฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโดยด้วยเหตุดังกล่าวนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับ จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2525มาตรา 11 จำคุก 7 ปี คำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลย 4 ปี 8 เดือน และให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนเป็นเงิน 710,968.79บาทแก่ผู้เสียหาย’