คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 366/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การขายฝาก มีบัญญัติไว้เป็นเอกเทศสัญญาโดยเฉพาะแต่นิติกรรมจะซื้อจะขายฝากมิได้มีบัญญัติไว้ในที่ใดให้มีได้ สัญญาจะซื้อจะขายฝากจึงมีขึ้นไม่ได้ตามกฎหมาย
จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ไป แล้วโจทก์จำเลยตกลงกันว่าจำเลยจะขายฝากที่ดินและห้องแถวให้แก่โจทก์ ให้ถือเอาหนี้ตามสัญญากู้นั้นเป็นเงินชำระหนี้บางส่วนตามสัญญาขายฝาก แต่ครั้นเมื่อจำเลยยืนคำขอแบ่งแยกที่ดินเพื่อขายฝากให้โจทก์และเจ้าพนักงานได้บันทึกถ้อยคำโจทก์จำเลยไว้เท่านั้นโจทก์จำเลยก็เกี่ยงงอนกันเรื่องราคา จึงมิได้ทำสัญญาขายฝากกันเป็นหนังสือและจดทะเบียน ดังนี้ เมื่อสัญญาจะซื้อจะขายฝากมีขึ้นไม่ได้ตามกฎหมายแล้วก็ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยว่าการกระทำของโจทก์จำเลยดังกล่าวนั้นจะเข้าลักษณะเป็นสัญญาจะซื้อจะขายฝากแล้วหรือไม่และย่อมถือว่ายังไม่มีหนี้อันใดเกิดขึ้นใหม่อันจะเป็นการเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสารสำคัญแห่งหนี้เดิมซึ่งจะทำให้หนี้กู้ยืมเดิมต้องระงับสิ้นไปด้วยการแปลงหนี้ใหม่ โจทก์จึงคงมีสิทธินำสัญญากู้ยืมมาฟ้องบังคับจำเลยได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ไป 2 ครั้ง เกินกำหนดแล้วจำเลยยังไม่ได้ชำระให้โจทก์ ขอให้บังคับให้จำเลยใช้เงิน 25,000 บาท กับดอกเบี้ย 4,200 บาท และเสียดอกเบี้ยร้อยละ 7 ครึ่งต่อปีต่อจากวันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จ

จำเลยให้การว่า ได้กู้เงินไปตามฟ้องจริง แต่เมื่อไม่สามารถชำระเงินกู้ให้แก่โจทก์ จำเลยจึงได้ตกลงกับโจทก์เพื่อขอฝากที่ดินและห้องแถวของจำเลยให้แก่โจทก์เป็นเงิน 90,000 บาท ตกลงกันให้แปลงหนี้ตามสัญญากู้ 2 ฉบับที่จำเลยยืมเงินโจทก์ไป 25,000 บาทพร้อมทั้งดอกเบี้ยจนถึงวันยื่นคำขอต่อสำนักงานที่ดินเป็นเงินชำระหนี้ตามสัญญาขายฝากบางส่วน หนี้เงินกู้ตามฟ้องจึงถูกแปลงเป็นหนี้ตามสัญญาขายฝาก หนี้เงินกู้จึงระงับไปโดยการแปลงหนี้ใหม่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 349 และเมื่อแปลงหนี้แล้วก็กลายเป็นการหักกลบลบหนี้ตามมาตรา 341 และในที่สุดหนี้ก็เกลื่อนกลืนกันไปตามมาตรา 353 โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะนำสัญญากู้มาฟ้องบังคับจำเลย

ชั้นพิจารณา ศาลสอบจำเลย จำเลยแถลงว่า การตกลงซื้อขายฝากที่ดินและห้องแถวระหว่างโจทก์กับจำเลยยังมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อสำนักงานทะเบียนที่ดิน เป็นแต่จำเลยได้ยื่นคำขอต่อสำนักงานดังกล่าวเพื่อขอแบ่งที่ดินขายให้แก่โจทก์ และเจ้าพนักงานได้บันทึกถ้อยคำของโจทก์จำเลยไว้เท่านั้น เหตุที่มิได้ทำสัญญาขายฝากกันก็เพราะโจทก์บิดพลิ้วไม่ยอมทำ โจทก์แถลงว่า ตกลงจะรับซื้อฝากกัน 30,000 บาท แล้วจำเลยจะขึ้นราคาเป็น 90,000 บาท โจทก์จึงไม่ตกลงและว่าเจ้าพนักงานได้บันทึกถ้อยคำไว้จริง

ศาลชั้นต้นให้งดสืบพยานโจทก์จำเลย แล้วพิพากษาให้จำเลยชำระต้นเงินกู้กับดอกเบี้ยแก่โจทก์

จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกาว่า หนี้ตามสัญญาจะซื้อจะขายฝากที่ดินเกิดขึ้นแล้วหนี้อันเกิดแต่สัญญายืมย่อมระงับสิ้นไป และนอกจากจะเป็นเรื่องแปลงหนี้ใหม่แล้ว ยังเป็นเรื่องหักกลบลบหนี้ตามมาตรา 341 ด้วย

ศาลฎีกาเห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 3 ลักษณะ 1หมวด 4 ส่วนที่ 1 บัญญัติถึงการขายฝากไว้เป็นเอกเทศสัญญาโดยเฉพาะส่วนนิติกรรมจะซื้อจะขายฝากมิได้มีบัญญัติไว้ในที่ใดให้มีได้ไม่เหมือนสัญญาจะขายจะซื้อสัญญาจะแลกเปลี่ยนและคำมั่นว่าจะให้ฉะนั้น สัญญาจะซื้อจะขายฝากมีขึ้นไม่ได้ตามกฎหมาย ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยว่าการกระทำของโจทก์จำเลยชั้นยื่นคำขอและชั้นเจ้าพนักงานที่ดินสอบสวนถ้อยคำนั้นจะเข้าลักษณะเป็นสัญญาจะซื้อจะขายฝากแล้วหรือไม่ จึงเป็นอันว่ายังหาได้มีหนี้อันใดเกิดขึ้นใหม่ระหว่างโจทก์จำเลย อันจะเป็นการเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสารสำคัญแห่งหนี้เดิม ซึ่งจะทำให้หนี้กู้ยืมเดิมต้องระงับสิ้นไปด้วยแปลงหนี้ใหม่ไม่ และที่จำเลยเถียงว่ายังเป็นเรื่องหักกลบลบหนี้ด้วยนั้นก็ฟังไม่ขึ้นเพราะแม้จะเป็นแปลงหนี้ใหม่ก็ยังเป็นคนละเรื่องกันกับการหักกลบลบหนี้ ดังนั้น โจทก์ยังคงมีสิทธินำสัญญากู้ยืมมาฟ้องบังคับจำเลยได้

พิพากษายืน

Share