แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ความรับผิดของผู้บังคับบัญชาในทางแพ่ง อันเนื่องมาจากการทุจริตของผู้ใต้บังคับบัญชานั้น หาใช่เพราะเหตุของการเป็นผู้บังคับบัญชาไม่ ความรับผิดของผู้บังคับบัญชาในทางแพ่งจะต้องเป็นไปตามหลักเรื่องละเมิดตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 ซึ่งได้แก่การกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ จำเลยที่ 5 ดำรงตำแหน่งรองผู้กำกับการตำรวจภูธรมีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบเกี่ยวกับทางด้านการเงินของกองกำกับการตำรวจภูธร เป็นผู้ตรวจสอบแบบรายงานการเดินทางไปราชการของเจ้าพนักงานตำรวจลงนามเป็นผู้เบิกเงินในบัญชีหน้างบใบสำคัญและลงนามเป็นผู้มอบฉันทะตามที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้ร่วมกันปลอมเอกสารดังกล่าวขึ้นโดยไม่ปรากฏว่ามีระเบียบให้จำเลยที่ 5ต้องตรวจสอบก่อนว่ามีหนังสือหรือคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไปปฏิบัติราชการหรือไม่ ทั้งไม่มีระเบียบว่าก่อนลงนามอนุมัติจะต้องปฏิบัติอย่างไร การเบิกเงินแต่ละครั้งมิได้มีเฉพาะรายที่ถูกปลอมลายมือชื่อเท่านั้น หากแต่มีผู้เบิกคราวละ 20-30 ราย ลายมือชื่อผู้กำกับการตำรวจภูธรที่สั่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไปราชการที่แท้จริงและที่ถูกปลอมก็คล้ายคลึงกัน ก่อนลงนามจำเลยที่ 5 ได้ตรวจว่ามีลายมือชื่อผู้ช่วยสมุห์บัญชี และสมุห์บัญชีลงนามรับรองความถูกต้องแล้ว ทั้งได้ตรวจว่าลายมือชื่อผู้กำกับการตำรวจภูธรผู้มีอำนาจสั่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไปปฏิบัติราชการแล้ว ถือได้ว่าจำเลยที่ 5 ได้ใช้ความระมัดระวังในการปฏิบัติหน้าที่โดยมิได้ประมาทเลินเล่อ จำเลยที่ 5 จึงไม่ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ที่ 2
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 มีตำแหน่งสมุห์บัญชีกองกำกับการตำรวจภูธรจังหวัดนครราชสีมามีหน้าที่เกี่ยวกับการเงิน โดยเฉพาะตรวจสอบใบสำคัญ ทำการเบิกและจ่ายเงินค่าใช้สอย จำเลยที่ 2 ปฏิบัติหน้าที่ช่วยราชการแผนกสารบรรณ จำเลยที่ 5 ดำรงตำแหน่งรองผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดนครราชสีมามีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบเกี่ยวกับทางด้านการเงินของกองกำกับการตำรวจภูธรจังหวัดนครราชสีมา จำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกันปลอมเอกสารแบบรายงานการเดินทางไปราชการของจ่าสิบตำรวจสุรพงษ์ ตรีชากับพวกว่าได้ไปราชการสืบสวนจับกุมคนร้ายตามคำสั่งของผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดนครราชสีมา เบิกเงินค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าเช่าที่พักรวม 334,410 บาท โดยปลอมลายมือชื่อบุคคลดังกล่าวว่าเป็นผู้เบิก และปลอมลายมือชื่อผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดนครราชสีมาว่า อนุมัติให้จ่ายเงินได้แล้ววางฎีกาเบิกเงินมาแบ่งกันโดยจำเลยที่ 5 มิได้ควบคุมตรวจตราการปฏิบัติงานของจำเลยที่ 1ที่ 2 ให้เป็นไปด้วยดี ไม่ตรวจสอบหลักฐานว่าบุคคลผู้ถูกปลอมลายมือชื่อว่าเป็นผู้ที่ได้รับคำสั่งให้ไปราชการสืบสวนจับกุมคนร้ายจริงหรือไม่ หากได้ตรวจสอบด้วยความระมัดระวังแล้วก็จะทราบได้ว่าเป็นเรื่องเท็จ ทั้งยังได้ลงลายมือชื่อเป็นผู้เบิกเงินในบัญชีหน้างบใบสำคัญเป็นเงิน 219,270 บาท ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้จำเลยที่ 5 ชดใช้เงินจำนวน 219,270 บาทแก่โจทก์จำเลยที่ 5 ให้การว่า จำเลยที่ 5 ได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความระมัดระวังตามวิสัยและพฤติการณ์ถูกต้องตามระเบียบแบบแผนของข้าราชการตำรวจแล้ว การที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกันปลอมเอกสารมิใช่อยู่ในวิสัยที่จะตรวจสอบได้โดยง่าย จำเลยที่ 5 มิได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่อ ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 5 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นเงิน 219,270บาท พร้อมดอกเบี้ย จำเลยที่ 5 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 5 โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาในชั้นฎีกาคงมีเฉพาะจำเลยที่ 5ว่าจะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 ผู้ใต้บังคับบัญชา ซึ่งกระทำการทุจริตเพียงใดหรือไม่
ศาลฎีกาเห็นว่า ความรับผิดของผู้บังคับบัญชาในทางแพ่งอันเนื่องมาจากการทุจริตของผู้ใต้บังคับบัญชานั้น หาใช่เพราะเหตุของการเป็นผู้บังคับบัญชาไม่ ความรับผิดของผู้บังคับบัญชาในทางแพ่งจะต้องเป็นไปตามหลักเรื่องละเมิดตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 ซึ่งได้แก่การกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ
คดีเรื่องนี้ข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2ซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาได้ร่วมกันทุจริตปลอมลายมือชื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจกัน 18 นายและปลอมลายมือชื่อของพันตำรวจเอกเทพ ดุษณีหรือดุษฎี ผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดนครราชสีมาจำเลยที่ 3 ลงในแบบรายงานการเดินทางไปราชการเพื่อเบิกค่าเบี้ยเลี้ยงและค่าเช่าที่พักในการเดินทางไปสืบสวนจับกุมคนร้ายรวม 55 ครั้ง ดังปรากฏตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1โดยที่เจ้าพนักงานตำรวจทั้ง 18 นาย ดังกล่าวมิได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาให้เดินทางไปสืบสวนจับกุมคนร้ายแต่ประการใดจากนั้นจึงนำเอกสารดังกล่าวเสนอผู้บังคับบัญชาให้ลงนามอนุมัติในบัญชีหน้างบใบสำคัญนำไปตั้งฎีกาเบิกเงินจากคลังจังหวัดรวม 34ฎีกา เป็นเงินทั้งสิ้น 334,410 บาท เฉพาะจำเลยที่ 5 ได้ลงนามอนุมัติให้เบิกในบัญชีหน้างบใบสำคัญแทนผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดนครราชสีมา 28 รายการเป็นเงิน 219,270 บาท โจทก์จึงฟ้องให้จำเลยที่ 5 ร่วมรับผิดในจำนวนเงินดังกล่าว
ตามข้อเท็จจริงที่ได้ความข้างต้น จำเลยที่ 5 มิได้ร่วมกระทำการทุจริตกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 ปัญหาวินิจฉัยจึงอยู่ที่ว่า จำเลยที่ 5ได้กระทำโดยประมาทเลินเล่อหรือไม่ ซึ่งในข้อนี้โจทก์กล่าวอ้างในฟ้องว่าจำเลยที่ 5 มิได้ทำการตรวจสอบหลักฐานว่าบุคคลผู้ถูกปลอมลายมือชื่อว่าเป็นผู้ไปราชการสืบสวนจับกุมคนร้ายนั้นเป็นผู้ที่ได้รับคำสั่งให้ไปราชการสืบสวนจับกุมคนร้ายจริงหรือไม่เห็นว่าไม่ปรากฏจากการนำสืบของโจทก์ว่าก่อนจะลงนามเป็นผู้อนุมัติในบัญชีหน้างบใบสำคัญ และลงนามเป็นผู้มอบฉันทะนั้นมีระเบียบให้ผู้ลงนามจะต้องตรวจสอบก่อนว่ามีหนังสือคำสั่งหรือคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไปปฏิบัติราชการสืบสวนหาตัวคนร้ายหรือไม่ แม้กระทั่งวิธีปฏิบัติก่อนลงนามอนุมัติผู้ลงนามจะต้องปฏิบัติอย่างไรก็ไม่ปรากฏ บัญชีหน้างบใบสำคัญและแบบรายงานการเดินทางไปราชการตามเอกสารหมายเลข 1 ท้ายฟ้องที่เกิดปัญหาในคดีนี้ปรากฏว่าการเบิกเงินแต่ละครั้งมิใช่มีเบิกเฉพาะรายที่ถูกปลอมลายมือชื่อเท่านั้น แต่ละครั้งที่เบิกมีรายชื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ขอเบิกค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าเช่าที่พักคราวละ20-30 ราย จำเลยที่ 5 เบิกความว่า ก่อนจะลงนามเป็นผู้อนุมัติและเป็นผู้มอบฉันทะนั้น นอกจากจะตรวจดูว่า จำนวนเงินตรงกันหรือไม่แล้วยังตรวจดูว่ามีลายมือชื่อจำเลยที่ 7 ผู้ช่วยสมุห์บัญชีซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตรวจสอบความถูกต้องในเบื้องต้นหรือไม่และมีลายมือชื่อจำเลยที่ 1 สมุห์บัญชีเป็นผู้ลงนามรับรองการตรวจสอบถูกต้องแล้วหรือไม่ ยิ่งไปกว่านั้นจำเลยที่ 5ยังได้ตรวจดูว่ามีลายมือชื่อจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจสั่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไปปฏิบัติราชการลงนามเป็นผู้อนุมัติในแบบรายงานการเดินทางหรือไม่อีกด้วย เพราะถ้ามีลายมือชื่อจำเลยที่ 3 ก็แสดงว่าจำเลยที่ 3 มีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไปปฏิบัติราชการจริง ซึ่งศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยที่ 5 ได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความระมัดระวังแล้ว ข้อที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยที่ 5ร่วมกันทำการกับจำเลยที่ 3 มาเป็นเวลานาน หากใช้ความระมัดระวังก็จะรู้ว่าเป็นลายมือปลอมนั้น เห็นว่าเป็นเรื่องที่โจทก์มิได้กล่าวอ้างในฟ้อง นอกจากนั้นเมื่อได้เปรียบเทียบดูลายมือของจำเลยที่ 3 ที่แท้จริงและที่ถูกปลอมแล้วก็เป็นการยากที่จะรู้ว่าปลอมหรือไม่ เพราะแม้แต่จำเลยที่ 3 เองก็ลงชื่อเป็นผู้อนุมัติในบัญชีหน้างบใบสำคัญตามฎีกาที่ 921/2521 ทั้ง ๆที่ลายมือชื่อของตนเองในแบบรายงานการเดินทางไปราชการซึ่งแนบมาพร้อมกันเป็นลายมือปลอม นอกจากนั้นพันตำรวจเอกสุคมน์สร้างสืบวงศ์ ประธานกรรมการสอบสวนหาตัวผู้รับผิดในทางแพ่งก็เบิกความว่า ผลการสอบสวนทราบว่าจำเลยที่ 5 ก่อนจะลงชื่อเกี่ยวกับเอกสารในคดีนี้ ก็ได้ตรวจสอบเอกสารทั้งหมดโดยถูกต้องแล้ว จึงเห็นว่าจำเลยที่ 5 ได้ใช้ความระมัดระวังในการปฏิบัติหน้าที่โดยมิได้ประมาทเลินเล่อ จำเลยที่ 5 จึงไม่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว
พิพากษายืน