คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3655/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องจำเลยโดยกล่าวอ้างว่า โจทก์ได้ครอบครองที่ดินพิพาทกับมีคำขอท้ายฟ้องว่า ขอให้ศาลพิพากษาว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท แม้โจทก์จะได้บรรยายฟ้องถึงข้อเท็จจริงที่ถูกจำเลยโต้แย้งสิทธิไว้แล้วก็ตาม แต่ตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ก็มิได้ขอให้ศาลขจัดข้อที่โจทก์ถูกโต้แย้งสิทธิ เมื่อโจทก์กล่าวอ้างว่า โจทก์ครอบครองที่ดินพิพาท โจทก์ย่อมมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทด้วยไม่จำต้องมาฟ้องหรือร้องขอให้ศาลมีคำสั่งว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองแต่อย่างใด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า โจทก์ได้รับยกให้มาจากบิดามารดา โจทก์ครอบครองทำประโยชน์เป็นเวลา 20 ปีแล้วเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน 2533 โจทก์ได้ขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ จำเลยได้คัดค้านอ้างว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยโดยมีแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) โจทก์จึงไม่สามารถขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ได้ ขอให้ศาลพิพากษาว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทชอบด้วยกฎหมาย
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้โจทก์จะได้บรรยายฟ้องถึงข้อเท็จจริงที่โจทก์ถูกจำเลยโต้แย้งสิทธิไว้ในฟ้องแล้วก็ตาม แต่การพิพากษาคดีนั้น ศาลจะต้องพิพากษาตามคำขอของโจทก์ เมื่อคำขอท้ายฟ้องของโจทก์มิได้ขอให้ศาลขจัดข้อที่โจทก์ถูกโต้แย้งสิทธิคือมิได้ขอให้ห้ามมิให้จำเลยขัดขวางการขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทหรือมิได้ขอให้ห้ามจำเลยไม่ให้เข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาท เพียงแต่ขอให้พิพากษาว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทเท่านั้น เมื่อโจทก์กล่าวอ้างว่าโจทก์ครอบครองที่ดินพิพาท โจทก์ย่อมมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทด้วย ไม่จำต้องมาฟ้องหรือร้องขอให้ศาลมีคำสั่งว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองแต่อย่างใดกรณีจึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริงแห่งคดีว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทอีก และแม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ตามที่โจทก์ฟ้องแต่ก็ไม่มีคำขอของโจทก์ที่จะให้ศาลบังคับจำเลยเพื่อขจัดข้อที่โจทก์ถูกโต้แย้งสิทธิแต่อย่างใด คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 1ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share