คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3644/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ยื่นคำขอรวมและแบ่งแยกโฉนดที่ดินภายหลังที่ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 296 ใช้บังคับ จำเลยที่ 4ถึงที่ 9 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานได้ทำการรังวัดและแบ่งแยกที่ดินเสร็จสิ้นก่อนที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ยื่นคำขออนุญาตและได้รับอนุญาตให้จัดสรรที่ดิน ที่ดินดังกล่าวจึงยังไม่ตกอยู่ในภารจำยอมจำเลยที่ 1 และที่ 2 มีสิทธิที่จะขอรวมและแบ่งแยกโฉนดและจำเลยที่ 3ถึงที่ 9 ก็มีสิทธิที่จะดำเนินการรวมและแยกโฉนดตามคำขอของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ตามอำนาจหน้าที่ของตนที่มีอยู่ได้ แม้ที่ดินที่เป็นถนนตามโฉนดดังกล่าวเมื่อรวมและแบ่งแยกแล้วจะมีเนื้อที่ลดน้อยลงกว่าเดิม และโจทก์ไม่ได้รับแจ้งให้ไประวังแนวเขตที่ดินขณะทำการรังวัด แต่เมื่อเจ้าพนักงานไม่ได้รังวัดที่ดินรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ โจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย โจทก์ย่อมไม่ใช่ผู้เสียหายในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยดังกล่าวได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157,83, 84, 86
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีไม่มีมูล พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาว่า การที่จำเลยที่ 1 และที่ 2ยื่นคำร้องขอรวมโฉนดและแบ่งแยก และจำเลยที่ 4 ถึงที่ 9 ได้ดำเนินการตั้งแต่การรังวัดเพื่อรวมและแบ่งแยกโฉนดที่ดินในนามเดิมตามคำขอของจำเลยที่ 1 และที่ 2 จนออกมาเป็นโฉนดที่ดินตามเอกสารหมายจ.17 และ จ.18 อันมีผลทำให้ที่ดินตามโฉนดเลขที่ 6534 เดิมซึ่งมีเนื้อที่ 3 งาน 58 ตารางวา ลดลงเหลือ 3 งาน 28 ตารางวา นั้นจะมีมูลความผิดฐานเป็นการปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริตตามฟ้องหรือไม่ ที่โจทก์ฎีกาว่าที่ดินตามโฉนดเลขที่ 6534 เดิมซึ่งเป็นถนนในที่ดินจัดสรรตกอยู่ในภารจำยอมเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินจัดสรร จำเลยที่ 1 และที่ 2 จะทำการแก้ไขเปลี่ยนแปลงถนนอันเป็นสาธารณูปโภคหรือให้ประโยชน์แห่งภารจำยอมลดลงไปไม่ได้ตามข้อ 30 แห่งประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 286นั้นเห็นว่า จากข้อ 30 และข้อ 32 ของประกาศของคณะปฏิวัติดังกล่าวถนนซึ่งเป็นสาธารณูปโภคที่ผู้จัดสรรที่ดินได้จัดให้มีขึ้นจะตกอยู่ในภารจำยอมเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินจัดสรรนั้น มีอยู่ 2 กรณีคือ 1.การจัดสรรที่ดินที่มีอยู่ก่อนวันที่ประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 286 ประกาศในราชกิจจานุเบกษาและได้จัดจำหน่ายที่ดินจัดสรรไปแล้วบางส่วนหรือได้จัดให้มีสาธารณูปโภคหรือบริการสาธารณะหรือได้ปรับปรุงที่ดินจัดสรรให้เป็นที่อยู่อาศัย ที่ประกอบการพาณิชย์ หรือที่ประกอบการอุตสาหกรรมไปแล้วบางส่วน เมื่อผู้จัดสรรที่ดินได้ยื่นรายการและแสดงหลักฐานตามแบบและวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวงต่อคณะกรรมการภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ประกาศของคณะปฏิวัติใช้บังคับ 2.การจัดสรรที่ดินที่มีขึ้นภายหลังจากประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 286 ใช้บังคับซึ่งในกรณีนี้ ถนนซึ่งเป็นสาธารณูปโภคจะตกอยู่ในภารจำยอมก็ต่อเมื่อแผนผังและโครงการจัดสรรที่ดินนั้นได้รับอนุญาตแล้ว แต่คดีนี้ปรากฏว่าประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 286 ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่29 พฤศจิกายน 2515 ไม่ปรากฏว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้จัดสรรที่ดินอยู่ก่อนวันดังกล่าว แต่กลับปรากฏว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2ได้ยื่นคำขออนุญาตทำการจัดสรรที่ดินต่อคณะกรรมการควบคุมการจัดสรรที่ดิน เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2524 ตามเอกสารหมาย จ.7 และได้รับอนุญาตให้จัดสรรที่ดินได้เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2528 การจัดสรรที่ดินของจำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงมิใช่การจัดสรรที่ดินที่มีอยู่ก่อนประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 286 ใช้บังคับ กรณีดังกล่าวจึงปรับกับคดีนี้ไม่ได้ การจัดสรรที่ดินในคดีนี้เป็นการจัดสรรที่ดินที่มีขึ้นภายหลังจากประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 286 ใช้บังคับกรณีนี้ถนนซึ่งเป็นสาธารณูปโภคจะตกอยู่ในภารจำยอมก็ต่อเมื่อแผนผังและโครงการจัดสรรที่ดินนั้นได้รับอนุญาตแล้ว ข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ยื่นคำขอรวมและแบ่งแยกโฉนดที่ดินเลขที่ 6534 และโฉนดที่ดินเลขที่ 106708 ถึง 106714 เมื่อวันที่26 สิงหาคม 2524 จำเลยที่ 4 ถึงที่ 9 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานได้ทำการรังวัดและแบ่งแยกที่ดินเสร็จสิ้นในเดือนธันวาคม 2524 และมกราคม 2525 แล้ว ก่อนที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ยื่นคำขออนุญาตและได้รับอนุญาตให้จัดสรรที่ดิน ที่ดินโฉนดเลขที่ 6534 จึงยังไม่ตกอยู่ในภารจำยอม ดังนั้น จำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงมีสิทธิที่จะขอรวมและแบ่งแยกโฉนดและจำเลยที่ 3 ถึงที่ 9 ก็มีสิทธิที่จะดำเนินการรวมและแยกโฉนดตามคำขอของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ตามอำนาจหน้าที่ของตนที่มีอยู่ได้แม้ที่ดินที่เป็นถนนตามโฉนดเลขที่ 6534 เมื่อรวมและแบ่งแยกแล้วจะมีเนื้อที่ลดน้อยลงกว่าเดิมและโจทก์ไม่ได้รับแจ้งให้ไประวังแนวเขตที่ดินขณะทำการรังวัดแต่ก็ได้ความว่าเจ้าพนักงานไม่ได้รังวัดที่ดินรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ โจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย โจทก์จึงมิใช่ผู้เสียหายไม่มีอำนาจฟ้อง
พิพากษายืน

Share