คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3643/2532

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์มอบหมายให้จำเลยดำเนินการโอนสิทธิการเช่าโทรศัพท์จากชื่อโจทก์ให้เป็นชื่อของ ส. ผู้รับโอนให้เป็นที่เรียบร้อยจำเลยจึงเป็นตัวแทนโดยปริยายของโจทก์ จำเลยได้จัดการให้มีการย้ายเครื่องโทรศัพท์แล้ว และควรจะจัดการให้มีการโอนไปพร้อมกัน แต่จำเลยไม่ได้ดำเนินการในเรื่องการโอนสิทธิการเช่าโทรศัพท์จากชื่อโจทก์เป็นชื่อ ส.ให้เป็นที่เรียบร้อยตามที่ได้รับมอบหมาย ถือได้ว่าจำเลยประมาทเลินเล่อ จำเลยจึงต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่โจทก์ หลังจากโจทก์ได้รับเงินค่าโอนสิทธิการเช่าโทรศัพท์จากจำเลยและมอบหมายให้จำเลยดำเนินการโอนสิทธิการเช่าโทรศัพท์แล้วโจทก์ควรติดตามดูเรื่องราวว่าได้มีการโอนสิทธิการเช่าจากชื่อโจทก์เป็นชื่อของ ส. เรียบร้อยแล้วหรือไม่ แต่โจทก์เพิกเฉยไม่ดำเนินการอย่างไร นับว่าโจทก์มีส่วนก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นพอ ๆ กับจำเลย ศาลให้จำเลยใช้ค่าเสียหายให้โจทก์เพียงกึ่งหนึ่งของค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องมาได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้รับมอบอำนาจและเป็นตัวแทนโจทก์ในการโอนโทรศัพท์ของโจทก์หมายเลข 4243755 ให้กับนายสมพล มานะผลในราคา 25,000 บาท ต่อมามีการย้ายโทรศัพท์ของโจทก์ไปยังสำนักงานของนายสมพล จำเลยมีหน้าที่จะต้องโอนสิทธิการเช่าโทรศัพท์ให้เป็นชื่อนายสมพลเพื่อให้สมประสงค์ของโจทก์ตามที่จำเลยตกลงไว้ ตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน 2524 ถึงวันที่ 17สิงหาคม 2524 นายสมพลกับพวกได้พูดวิทยุโทรศัพท์ระหว่างประเทศ เป็นเงิน 34,979 บาท โดยไม่ชำระค่าโทรศัพท์ และค้างชำระค่าพูดโทรศัพท์ภายในประเทศอีก 18,283 บาท จำเลยประมาทเลินเล่อไม่กระทำการเป็นตัวแทนดำเนินการโอนโทรศัพท์ให้เป็นชื่อนายสมพลทำให้โจทก์เสียหายต้องชำระเงินให้แก่การสื่อสารแห่งประเทศไทยและองค์การโทรศัพท์ ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยใช้เงิน 53,513 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ จำเลยให้การว่าจำเลยไม่ได้รับมอบอำนาจหรือได้รับการแต่งตั้งจากโจทก์ให้ไปกระทำการเป็นตัวแทนโจทก์ จำเลยเพียงแต่ช่วยเหลือในฐานะเพื่อนบ้านหาผู้รับโอนโทรศัพท์ให้แก่โจทก์และโจทก์เป็นผู้ไปติดต่อยื่นเรื่องราวกับเจ้าหน้าที่องค์การโทรศัพท์ด้วยตนเองความเสียหายที่โจทก์ได้รับเป็นเพราะความประมาทเลินเล่อของโจทก์เอง ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์ 53,513 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาวินิจฉัยมีว่าจำเลยเป็นตัวแทนโจทก์หรือไม่ และจำเลยจะต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นหรือไม่โจทก์มีตัวโจทก์เบิกความยืนยันว่าโทรศัพท์หมายเลข 4243755 ของโจทก์เดิมติดตั้งอยู่ที่บ้านเลขที่ 1820/11 ซอยร่วมพัฒนาถนนจรัญสนิทวงศ์ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร โจทก์มีความประสงค์จะหาผู้รับโอนเพื่อเอาเงินไปใช้หนี้ จึงได้ปรึกษากับจำเลยซึ่งได้มาที่บ้านโจทก์จำเลยบอกว่าจะหาผู้รับโอนให้ โจทก์จึงบอกจำเลยว่าโจทก์คิดค่าโอน 25,000 บาท หากได้มากกว่านี้ก็ยกให้จำเลยไปต่อมาประมาณ 3 วัน จำเลยได้มาบอกโจทก์ว่ามีผู้รับโอนแล้วชื่อนายสมพล มานะผล และได้นำแบบฟอร์มขององค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยมาให้โจทก์ลงชื่อรวม 4 แผ่น คือแบบฟอร์มหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.1 แบบฟอร์มคำร้องทั่วไปเอกสารหมาย จ.2แบบฟอร์มคำร้องขอโอนและรับโอนสิทธิและแบบฟอร์มใบสั่งติดตั้งโทรศัพท์ธรรมดา โจทก์ได้ลงชื่อให้ไปโดยยังไม่ได้กรอกข้อความจำเลยได้ขอบัตรประจำตัวข้าราชการของโจทก์ไปด้วย จำเลยบอกว่าจะไปดำเนินการให้เองทั้งหมด หากมีปัญหาอะไรจำเลยจะรับผิดชอบเอง รุ่งขึ้นนางเฉียง ศิริกาญจน์ มารดาโจทก์ได้บอกโจทก์ว่าจำเลยนำเงิน 25,000 บาท ฝากไว้เป็นค่าโอนโทรศัพท์ต่อมาจำเลยได้มาขอให้โจทก์ทำใบเสร็จรับเงินค่าโอนโทรศัพท์ให้ โจทก์ก็ทำให้ จำเลยก็ยืนยันกับโจทก์อีกว่าโอนให้เรียบร้อยแล้วถ้ามีปัญหาอะไรจะรับผิดชอบเอง ซึ่งนางเฉียงพยานโจทก์ก็เบิกความสนับสนุนเป็นทำนองเดียวกับโจทก์ ทั้งจำเลยเองก็เบิกความยอมรับว่าได้พบโจทก์ที่บ้านของโจทก์และได้นำเงินค่าโอนโทรศัพท์ไปมอบให้กับมารดาโจทก์จริง ซึ่งเป็นการเจือสมคำพยานโจทก์ พยานหลักฐานโจทก์จึงมีน้ำหนักให้น่าเชื่อถือที่จำเลยนำสืบว่าจำเลยเป็นเพียงช่วยเหลือโจทก์ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านโดยเป็นผู้แนะนำให้นายสมพลไปพบโจทก์และไปตกลงรับโอนกับโจทก์เอง และในวันโอน โจทก์จำเลยได้ไปพบกับนายสมชายตัวแทนนายสมพลที่องค์การโทรศัพท์ สาขาบางยี่เรือ จำเลยไปขอแบบฟอร์มจากนายวิง เจ้าหน้าที่องค์การโทรศัพท์แล้วนำมาให้โจทก์ลงชื่อ แล้วนำไปยื่นกับนายวิงนั้น เห็นว่า ไม่สมเหตุผลเพราะหากจำเลยเป็นเพียงผู้แนะนำให้โจทก์ตกลงกับนายสมพลเองก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จำเลยจะต้องไปที่องค์การโทรศัพท์สาขาบางยี่เรืออีก ในวันที่จำเลยอ้างว่าโจทก์ไปที่องค์การโทรศัพท์สาขาบางยี่เรือนั้น นายวิง ไทรเกิดศรีพยานจำเลยก็เบิกความว่าโจทก์จะไปด้วยหรือไม่จำไม่ได้ แต่โจทก์ได้มาติดต่อเรื่องการใช้โทรศัพท์ทางไกลว่าไม่ได้ใช้ยังต้องเสียค่าเช่า นายวิงจึงรู้จักโจทก์ตอนนี้ ซึ่งเป็นตอนหลังจากที่มีการย้ายโทรศัพท์ไปแล้ว พยานหลักฐานของจำเลยจึงเลื่อนลอยและไม่สมเหตุผล ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ตามที่โจทก์นำสืบว่า โจทก์ได้มอบหมายให้จำเลยดำเนินการในเรื่องการโอนสิทธิการเช่าโทรศัพท์ดังกล่าวจากชื่อของโจทก์ให้เป็นชื่อของนายสมพลผู้รับโอนให้เป็นที่เรียบร้อย จำเลยจึงเป็นตัวแทนโดยปริยายของโจทก์และข้อเท็จจริงได้ความว่าได้มีการย้ายโทรศัพท์หมายเลข 4243755 จากบ้านเลขที่ 1820/11 ซอยร่วมพัฒนา ถนนจรัลสนิทวงศ์ ไปติดตั้งที่บ้านเลขที่ 666/106 ถนนจรัญสนิทวงศ์ แล้ว แสดงว่าจำเลยได้จัดการให้มีการย้ายโทรศัพท์เท่านั้น ซึ่งในขณะเดียวกันนั้นจำเลยก็ควรจะจัดการให้มีการโอนไปพร้อมกัน แต่จำเลยไม่ได้ดำเนินการในเรื่องการโอนสิทธิการเช่าโทรศัพท์จากชื่อโจทก์เป็นชื่อนายสมพล ผู้รับโอนให้เป็นที่เรียบร้อยตามที่ได้รับมอบหมายถือได้ว่าจำเลยประมาทเลินเล่อ จำเลยจึงต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่โจทก์ อย่างไรก็ดี ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์ก็มีส่วนประมาทเลินเล่อในเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน กล่าวคือหลังจากที่โจทก์ได้รับเงินค่าโอนสิทธิการเช่าโทรศัพท์จากจำเลยและมอบหมายให้จำเลยดำเนินการโอนสิทธิการเช่าโทรศัพท์ให้แก่นายสมพลแล้วโจทก์เองก็ควรจะติดตามเรื่องราวดูจากองค์การโทรศัพท์ว่าได้มีการโอนสิทธิการเช่าจากชื่อโจทก์เป็นชื่อของนายสมพลเรียบร้อยแล้วหรือไม่ แต่โจทก์ก็เพิกเฉยไม่ดำเนินการแต่อย่างไรนับว่าโจทก์มีส่วนในการก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นด้วยพอ ๆ กับทางฝ่ายจำเลย จึงให้จำเลยใช้ค่าเสียหายให้โจทก์เพียงกึ่งหนึ่งของค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องมา ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 26,631 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 22 พฤศจิกายน2527 จนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์

Share