คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3642/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำฟ้องของโจทก์นอกจากจะบรรยายว่า โจทก์ได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาททั้งสองแปลงโดยการครอบครองแล้ว ยังบรรยายฟ้องด้วยว่า ตามสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์กับ บ. มีข้อตกลงว่า เมื่อโจทก์ชำระราคาที่ดินครบถ้วนแล้ว บ. จะไปจดทะเบียนโอนสิทธิในที่ดินให้แก่โจทก์และมีคำขอท้ายฟ้องว่า ให้จำเลยทั้งหกในฐานะทายาทของ บ. ร่วมกันไปจดทะเบียนโอนสิทธิในที่ดินพิพาททั้งสองแปลงนั้นให้แก่โจทก์อีกด้วย ดังนี้ แม้คดีจะฟังไม่ได้ว่าโจทก์ได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาท แต่โจทก์นำสืบฟังได้ว่า โจทก์ชำระราคาที่ดินตามสัญญาให้ บ. ครบถ้วนแล้ว ศาลชั้นต้นก็มีอำนาจวินิจฉัยว่า สัญญาระหว่างโจทก์กับ บ. เป็นสัญญาจะซื้อจะขาย และพิพากษาให้จำเลยทั้งหกซึ่งเป็นทายาทของ บ. โอนที่ดินพิพาททั้งสองแปลงนั้นให้แก่โจทก์ตามสัญญาดังกล่าวได้ ไม่เป็นการพิพากษานอกฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๑๖ นางบุตรศรีหรือสี ภูยาแพทย์ ทำสัญญาขายที่ดินให้โจทก์สองแปลงตาม น.ส.๓ ก. เลขที่ ๖๗๑๙ และ ๙๗๖๘ ตำบลอิตื้อ อำเภอบางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ รวมราคม ๓,๕๐๐ บาท นางบุตรศรีได้รับเงินค่าที่ดินแล้ว ๓,๐๐๐ บาท ที่เหลืออีก ๕๐๐ บาท จะชำระเมื่อโอนกรรมสิทธิ์ ต่อมาโจทก์ชำระเงิน ๕๐๐ บาท ให้นางบุตรศรีแล้ว แต่นางบุตรศรียังไม่จดทะเบียนโอนสิทธิครอบครองให้โจทก์ หลังจากทำสัญญาซื้อขายแล้ว โจทก์และนางสุวันทา ภูครองทุ่ง ภรรยาโจทก์ได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินทั้งสองแปลง โดยนางบุตรศรีได้สละการครอบครองและมอบ น.ส.๓ ก. สำหรับที่ดินทั้งสองแปลงแก่โจทก์ วันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๗ นางบุตรศรีถึงแก่กรรม โจทก์ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินทั้งสองแปลงเป็นเวลา ๑๐ ปีเศษ และเสียภาษีบำรุงท้องที่ตลอดมา จำเลยทั้งหกเป็นบุตรของนางบุตรศรี โจทก์แจ้งให้จำเลยทั้งหกในฐานะทายาทผู้รับมรดกนางบุตรศรีไปจดทะเบียนโอนสิทธิครอบครองที่ดินทั้งสองแปลงแก่โจทก์ จำเลยทั้งหกเพิกเฉย ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินพิพาททั้งสองแปลงเป็นของโจทก์ ให้จำเลยทั้งหกร่วมกันจดทะเบียนโอนสิทธิครอบครองที่ดินทั้งสองแปลงให้แก่โจทก์ มิฉะนั้นให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งหก
จำเลยทั้งหกให้การว่า นางบุตรศรี ภูยาแพทย์ มารดาจำเลยทั้งหกไม่ได้ขายที่ดินพิพาทให้โจทก์ เพียงแต่นำที่ดินดังกล่าวไปจำนำโจทก์เมื่อปี ๒๕๑๗ เป็นเงิน ๒,๐๐๐ บาท ต่อมาปี ๒๕๒๙ จำเลยทั้งหกขอไถ่คืน โจทก์เรียกค่าไถ่ถอน ๕๐,๐๐๐ บาท โดยอ้างว่ามารดกจำเลยทั้งหกขายที่ดินพิพาทให้โจทก์แล้ว โจทก์ปลอมสัญญาซื้อขาย ความจริงนางบุตรศรีอ่านเขียนหนังสือไทยไม่ได้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยทั้งหกร่วมกันจดทะเบียนโอนสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ น.ส.๓ ก. เลขที่ ๖๗๑๙ และ ๙๗๖๘ ตำบลอิตื้อ อำเภอบางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ ให้แก่โจทก์ ถ้าจำเลยทั้งหกหรือคนใดคนหนึ่งไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
จำเลยทั้งหกอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาข้อแรกของโจทก์ว่า ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งหกร่วมกันโอนที่พิพาททั้งสองแปลงให้โจทก์ตามสัญญาจะซื้อจะขายนั้นเป็นการพิพากษานอกฟ้องหรือไม่ ในข้อนี้แม้ว่าตามคำฟ้องจะบรรยายว่า หลังจากโจทก์ทำสัญญาซื้อขายกับนางบุตรศรีแล้ว นางบุตรศรีได้มอบการครอบครองที่พิพาททั้งสองแปลงพร้อมกับหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓ ก.) ให้แก่โจทก์ และโจทก์ได้ครอบครองที่พิพาททั้งสองแปลงด้วยเจตนายึดถือเพื่อตน และเสียภาษีบำรุงท้องที่ตลอดมากว่า ๑๐ ปีแล้ว กับมีคำขอท้ายฟ้อง ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินพิพาททั้งสองแปลงเป็นของโจทก์ อันเป็นคำฟ้องที่อ้างว่าโจทก์ได้สิทธิครอบครองที่พิพาททั้งสองแปลงโดยการครอบครองก็ตาม แต่คำฟ้องของโจทก์ยังได้บรรยายด้วยว่าตามสัญญาซื้อขายนั้นมีข้อตกลงว่า นางบุตรศรีจะไปจดทะเบียนโอนสิทธิให้แก่โจทก์เมื่อโจทก์ชำระราคาที่ดินครบถ้วนแล้ว อีกทั้งมีคำขอท้ายฟ้องด้วยว่า ขอให้จำเลยทั้งหกในฐานะทายาทของนางบุตรศรีร่วมกันไปจดทะเบียนโอนสิทธิในที่ดินพิพาททั้งสองแปลงแก่โจทก์ด้วย เมื่อโจทก์นำสืบข้อเท็จจริงได้ความว่า โจทก์ชำระราคาค่าที่ดินตามสัญญาให้นางบุตรศรีครบถ้วนแล้ว นางบุตรศรียังไม่ได้ทำการโอนก็ได้ถึงแก่ความตายเสียก่อน ซึ่งข้อเท็จจริงได้ความตามคำฟ้องดังกล่าว การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัย สัญญาระหว่างโจทก์กับนางบุตรศรีเป็นสัญญาจะซื้อจะขาย และพิพากษาให้จำเลยทั้งหกซึ่งเป็นทายาทของนางบุตรศรีโอนที่ดินพิพาททั้งสองแปลงให้โจทก์ตามสัญญาจะซื้อจะขายนั้น จึงไม่เป็นการพิพากษานอกฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า เมื่อฟังไม่ได้ว่าโจทก์ได้สิทธิโดยการครอบครองก็ไม่มีประเด็นที่จะบังคับให้จำเลยทั้งหกโอนที่ดินให้โจทก์ตามสัญญาจะซื้อจะขายเพราะเป็นเรื่องนอกคำฟ้องนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังขึ้น เมื่อวินิจฉัยดังกล่าวแล้ว ฎีกาของโจทก์ในข้อที่ว่า นางบุตรศรีมารดาจำเลยทั้งหกสละการครอบครองที่ดินพิพาททั้งสองแปลงให้โจทก์มานานแล้วก็ดี จำเลยทั้งหกมิได้อุทธรณ์เรื่องโจทก์ครอบครองที่ดินพิพาททั้งสองแปลงแทนนางบุตรศรีและมิได้ต่อสู้ไว้ในศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจวินิจฉัยก็ดี ไม่จำต้องวินิจฉัย
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share