คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 364/2544

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การคำนวณราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันไม่ว่าเพื่อเสียค่าธรรมเนียมศาลหรืออุทธรณ์ฎีกา ต้องคำนวณตามราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ตามความเป็นจริง
ตามคำฟ้อง คำให้การ และแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) ของที่พิพาทระบุเนื้อที่ประมาณ 2 ไร่ ในการเสียค่าขึ้นศาลคู่ความได้คิดราคาที่ดินโดยคำนวณตามเนื้อที่ประมาณ 51,000 บาท เมื่อเจ้าพนักงานที่ดินทำการรังวัด ที่ดินพิพาทได้เนื้อที่ชัดเจนว่า 1 ไร่ 1 งาน 73 ตารางวา จึงถือว่าราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันคือราคาที่ดินที่มีเนื้อที่ 1 ไร่ 1 งาน 73 ตารางวา การที่จำเลยกำหนดราคาที่ดิน 2 ไร่ เป็นเงิน 51,000 บาท จึงมีราคาไร่ละ 25,500 บาท ราคาที่ดินพิพาททั้งแปลงคือ 36,528.75 บาท ต้องถือว่าราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ไม่เกิน 50,000 บาท ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 224 วรรคหนึ่ง
ในชั้นฎีกาจำเลยฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ให้ยกอุทธรณ์ของจำเลย โดยขอให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี จึงเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ ต้องเสียค่าขึ้นศาล 200 บาท ตามตาราง 1 ข้อ 2 (ก) ท้าย ป.วิ.พ.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่าที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.๑) เลขที่ ๑๖๒ ตำบลหนองเหล่า อำเภอม่วงสามสิบ จังหวัดอุบลราชธานี เนื้อที่ประมาณ ๑๐ ไร่ เป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยทั้งสองและบริวารเข้าไปเกี่ยวข้อง กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายให้โจทก์ปีละ ๑,๐๐๐ บาท นับตั้งแต่วันทำละเมิดจนกว่าจำเลยทั้งสองและบริวารจะออกจากที่ดินของโจทก์
จำเลยทั้งสองให้การและฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้อง และพิพากษาว่า ที่ดินมุมทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ตามแผนที่สังเขปที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยทั้งสอง ห้ามโจทก์และบริวารเข้าเกี่ยวข้อง
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยทั้งสองเพิ่งเข้าอยู่ในที่ดินพิพาทเมื่อประมาณเดือนพฤษภาคมถึงกรกฎาคม ๒๕๓๘ ก่อนหน้านี้โจทก์เป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์โดยตลอด เมื่อนับถึงวันฟ้องยังไม่เกิน ๑ ปี ฟ้องโจทก์ไม่ขาดอายุความ ฟ้องแย้งขาดอายุความเพราะโจทก์ได้ครอบครองที่ดินพิพาทตั้งแต่ปี ๒๕๑๐ ถึงปัจจุบันเป็นเวลาประมาณ ๒๘ ปีแล้ว จำเลยทั้งสองเพิ่งฟ้องแย้งโจทก์เมื่อวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๓๘ ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ระหว่างพิจารณา จำเลยที่ ๒ ถึงแก่กรรม นายอำคา อุปมา บุตรของจำเลยที่ ๒ ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยทั้งสองและบริวารเข้าไปเกี่ยวข้องและยกฟ้องแย้ง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษายกอุทธรณ์จำเลยทั้งสอง คืนค่าธรรมเนียมศาลในชั้นอุทธรณ์ทั้งหมดให้จำเลยทั้งสอง
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า… ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองบุกรุกที่ดินของโจทก์มีเนื้อที่ ๒ ไร่ จำเลยทั้งสองให้การว่า ที่ดินที่โจทก์อ้างว่าจำเลยบุกรุกนั้นเป็นของจำเลยทั้งสอง ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือจำเลยทั้งสอง เมื่อโจทก์และจำเลยทั้งสองรับว่าที่ดินพิพาทมีราคาไร่ละประมาณ ๒๕,๐๐๐ บาท โดยคู่ความตกลงกันกำหนดราคาที่ดินพิพาทเป็นเงิน ๕๑,๐๐๐ บาท และต่างก็เสียค่าธรรมเนียมศาลฝ่ายละ ๑,๒๗๕ บาท คดีนี้จึงมีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันราคา ๕๑,๐๐๐ บาท ย่อมไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๒๒๔ วรรคหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ กำหนดเอาเนื้อที่ดินพิพาทตามที่โจทก์และจำเลยทั้งสองนำเจ้าพนักงานที่ดินไปทำการรังวัดว่ามีเนื้อที่ ๑ ไร่เศษ และเห็นว่าทุนทรัพย์ที่พิพาทกันไม่เกิน ๕๐,๐๐๐ บาท จึงต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง เป็นการไม่ถูกต้องนั้น เห็นว่า ตามคำฟ้องของโจทก์กล่าวว่า จำเลยทั้งสองบุกรุกที่ดินของโจทก์เนื้อที่ประมาณ ๒ ไร่ จำเลยทั้งสองก็ให้การว่า ที่ดินเนื้อที่ประมาณ ๒ ไร่ ที่โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยทั้งสองบุกรุกเป็นที่ดินของจำเลยตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. ๑) เลขที่ ๑๕ หมู่ที่ ๔ ตำบลหนองเหล่า อำเภอม่วงสามสิบ จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. ๑) ดังกล่าวก็ระบุว่ารูปที่ดินโดยประมาณมีเนื้อที่ ๒ ไร่ เพราะการแจ้งการครอบครองที่ดินเป็นเพียงผู้ครอบครองที่ดินไปแจ้งต่อกำนันผู้ปกครองท้องที่ว่าผู้แจ้งได้ครอบครองที่ดินมีเนื้อที่เท่าใด โดยไม่ได้มีการรังวัดสอบเขตว่าตามความจริง ที่ดินที่ได้แจ้งการครอบครองนั้นมีเนื้อที่จำนวนเท่าใดแน่ จึงเป็นการประมาณเอาเท่านั้น โจทก์และจำเลยทั้งสองเห็นชอบในการที่ศาลชั้นต้นให้เจ้าพนักงานที่ดินไปทำการรังวัดที่ดินส่วนที่พิพาทกัน เมื่อเจ้าพนักงานที่ดินไปทำการรังวัดแล้ว ก็ได้ทำแผนที่พิพาทขึ้น ซึ่งโจทก์และจำเลยทั้งสองต่างก็ยอมรับว่าแผนที่พิพาทดังกล่าวถูกต้อง ดังนั้น จึงต้องถือว่าจำเลยทั้งสองยอมรับว่าที่ดินพิพาทที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองบุกรุกและจำเลยทั้งสองอ้างว่าเป็นของจำเลยทั้งสอง มีเนื้อที่ ๑ ไร่ ๑ งาน ๗๓ ตารางวา การคำนวณราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันไม่ว่าเพื่อเสียค่าธรรมเนียมศาลหรืออุทธรณ์ฎีกาต้องคำนวณตามราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ตามความเป็นจริง สำหรับคดีนี้ดังได้กล่าวมาแล้วข้างต้นว่าทั้งตามคำฟ้อง คำให้การและเนื้อที่ที่ระบุไว้ในแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. ๑) เลขที่ ๑๕ ฯลฯ ที่ว่ามีเนื้อที่ประมาณ ๒ ไร่ เป็นเรื่องของการประมาณ โดยในการเสียค่าขึ้นศาลคู่ความได้คิดราคาที่ดินโดยคำนวณตามเนื้อที่ เห็นได้จากคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยระบุว่า ที่ดินพิพาทมีเนื้อที่ประมาณ ๒ ไร่ มีราคาประมาณ ๕๑,๐๐๐ บาท และเมื่อโจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งก็คำนวณราคาที่ดินมาเป็นไร่ เมื่อเจ้าพนักงานที่ดินได้ทำการรังวัดได้เนื้อที่ชัดเจนว่า ที่ดินพิพาทมีเนื้อที่ ๑ ไร่ ๑ งาน ๗๓ ตารางวา ก็ต้องถือว่าราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในคดีนี้คือราคาที่ดินที่มีเนื้อที่ ๑ ไร่ ๑ งาน ๗๓ ตารางวา การที่จำเลยทั้งสองกำหนดราคาที่ดิน ๒ ไร่ มาเป็นเงิน ๕๑,๐๐๐ บาท ที่ดินพิพาทจึงมีราคาไร่ละ ๒๕,๕๐๐ บาท ราคาที่ดินพิพาททั้งแปลงคือ ๓๖,๕๒๘.๗๕ บาท ก็ต้องถือว่าราคาทรัพย์สินหรือจำนวน ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ไม่เกิน ๕๐,๐๐๐ บาท ย่อมต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๒๒๔ วรรคหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษายกอุทธรณ์จำเลยทั้งสองชอบแล้ว ฎีกาจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น …
พิพากษายืน แต่ให้คืนค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้นให้แก่โจทก์และจำเลยทั้งสองฝ่ายละจำนวน ๓๖๒.๕๐ บาท คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาให้แก่จำเลยทั้งสองจำนวน ๑,๐๗๕ บาท และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าทนายความในศาลชั้นต้นแทนโจทก์ ๑,๕๐๐ บาท ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ .

Share