แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
น้ำมันเชื้อเพลิงที่จำเลยทั้งสามปลอมปนมีจำนวนรวมกันถึง133,500ลิตรเพื่อที่จะให้ได้กำไรในทางการค้าให้มาก โดยมิได้คำนึงถึงความเดือดร้อนที่จะก่อให้เกิดแก่ประชาชนที่ซื้อน้ำมันไปใช้ ทำให้เครื่องยนต์ต้องชำรุดเสียหายก่อนเวลาอันสมควรต้องเสียค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมเป็นจำนวนมากโดยไม่จำเป็น ซึ่งเป็นความสูญเปล่าในทางเศรษฐกิจของประเทศชาติโดยรวมถือเป็นอาชญากรรมทางเศรษฐกิจที่ร้ายแรงไม่มีเหตุสมควรที่จะรอการลงโทษให้แก่จำเลย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ซึ่งมีฐานะเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย มีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงและอื่น ๆ มีจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการมีอำนาจดำเนินการแทนจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการกับจำเลยที่ 2 ในฐานะส่วนตัว และจำเลยที่ 3 ได้ร่วมกันกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกันกล่าวคือ จำเลยทั้งสามซึ่งเป็นผู้ค้าน้ำมันได้เช่าสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงจากบุคคลอื่นซึ่งได้รับอนุญาตจากกรมทะเบียนการค้า และใช้เปิดเป็นสถานีบริการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงชนิดน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซล โดยชื่อว่า “ทองหล่อบริการ” ซึ่งตั้งอยู่เลขที่ 31/1 หมู่ที่ 7 ตำบลโคกตูม อำเภอเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี สถานีบริการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงมีมาตรวัดน้ำมันเชื้อเพลิงตามกฎหมายว่าด้วย มาตราชั่ง ตวง วัด ติดตั้งไว้เป็นประจำ จำเลยทั้งสามได้ร่วมกันกระทำการปลอมน้ำมันเบนซินธรรมดาไร้สารตะกั่ว และน้ำมันเบนซินพิเศษไร้สารตะกั่ว ซึ่งเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงตามกฎหมายเพื่อจำหน่าย โดยจำเลยทั้งสามได้ร่วมกันมีน้ำมันเบนซินธรรมดาไร้สารตะกั่วปริมาณ 118,500 ลิตร และน้ำมันเบนซินพิเศษไร้สารตะกั่ว ปริมาณ 15,000 ลิตร บรรจุในหลุมเก็บน้ำมันใต้ดินจำนวนหลายหลุม และที่รถยนต์บรรทุกน้ำมันอีกหลายคันซึ่งเกินกว่า 200 ลิตร ไว้ในครอบครองที่สถานีบริการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงของจำเลยทั้งสาม โดยน้ำมันเบนซินธรรมดาไร้สารตะกั่วมีค่าการกลั่นการระเหยในอัตราร้อยละ 50 โดยปริมาตรต่ำกว่า 70 องศาเซลเซียส และน้ำมันเบนซินพิเศษไร้สารตะกั่วมีค่าอ๊อกเทน 91.4 ซึ่งเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีคุณภาพต่ำกว่าที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด ซึ่งได้กำหนดให้น้ำมันเบนซินธรรมดาไร้สารตะกั่วต้องมีค่าการกลั่นการระเหยในอัตราร้อยละ 50 โดยปริมาตรไม่ต่ำกว่า 70 องศาเซลเซียสและน้ำมันเบนซินพิเศษไร้สารตะกั่วต้องมีค่าอ๊อกเทนไม่ต่ำกว่า 94.6 อันเป็นการปลอมปนน้ำมันเบนซินธรรมดาไร้สารตะกั่วและน้ำมันเบนซินพิเศษไร้สารตะกั่วเพื่อจำหน่ายโดยจำเลยทั้งสามพิสูจน์ไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสามได้ร่วมกันมีน้ำมันเชื้อเพลิงไว้ในครอบครองเพื่อกิจการของตนหรือได้น้ำมันเชื้อเพลิงนั้นมาโดยไม่ทราบว่าเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีคุณภาพต่ำกว่าที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย จำเลยทั้งสามได้ร่วมกันจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงชนิดเบนซินธรรมดาไร้สารตะกั่วและน้ำมันเบนซินพิเศษไร้สารตะกั่วซึ่งจำเลยทั้งสามได้ร่วมกันกระทำการปลอมปนและเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีคุณภาพต่ำกว่าคุณภาพที่รัฐมนตรีกำหนดให้แก่ประชาชนทั่วไป เหตุเกิดที่ ตำบลโคกตูม อำเภอเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2521มาตรา 4, 13, 21, 25 ตรี ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83, 91 และริบของกลาง
จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามพระราชบัญญัติน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2521 มาตรา 4, 13 วรรคหนึ่ง วรรคสาม, 21, 25 ตรี วรรคสองเป็นความผิดสองกรรมต่างกัน ลงโทษทุกกระทงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91ฐานปลอมน้ำมันเชื้อเพลิงฯ จำเลยที่ 1 ปรับ 100,000 บาท จำเลยที่ 2 และที่ 3 จำคุกคนละ 4 ปี และปรับคนละ 100,000 บาท ฐานจำหน่ายน้ำมันคุณภาพต่ำกว่าที่รัฐมนตรีกำหนด จำเลยที่ 1 ปรับ 60,000 บาท จำเลยที่ 2 และที่ 3 จำคุกคนละ 6 เดือน และปรับคนละ 60,000 บาท รวมจำเลยที่ 1 ปรับ 160,000 บาท จำเลยที่ 2 และที่ 3จำคุกคนละ 4 ปี 6 เดือน และปรับคนละ 160,000 บาท จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 จำเลยที่ 1 คงปรับ 80,000 บาท จำเลยที่ 2 และที่ 3 คงจำคุกคนละ2 ปี 3 เดือน และปรับคนละ 80,000 บาท โทษจำคุกจำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้รอการลงโทษไว้มีกำหนดคนละ 3 ปี ให้รายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 4 เดือน ต่อครั้ง มีกำหนด 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ริบของกลาง
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษสถานหนักและไม่รอการลงโทษ
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า สำหรับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ความผิดฐานปลอมน้ำมันเชื้อเพลิงฯ จำคุกคนละ 2 ปี ไม่ปรับ ลดโทษให้จำเลยที่ 2 และที่ 3คนละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 2 และที่ 3คนละ 1 ปี และไม่รอการลงโทษ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ว่ามีเหตุสมควรรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 หรือไม่ เห็นว่า น้ำมันเชื้อเพลิงที่จำเลยทั้งสามปลอมปนมีจำนวนรวมกันถึง 133,500 ลิตร จำเลยทั้งสามปลอมปนเพื่อที่จะให้ได้กำไรในทางการค้าให้มาก โดยมิได้คำนึงถึงความเดือดร้อนที่จะก่อให้เกิดแก่ประชาชนที่ซื้อน้ำมันจากจำเลยทั้งสามไปใช้ ทำให้เครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงดังกล่าวต้องชำรุดเสียหายก่อนเวลาอันสมควร ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมเป็นจำนวนมากโดยไม่จำเป็น ซึ่งเป็นความสูญเปล่าในทางเศรษฐกิจของประเทศชาติโดยรวมถือเป็นอาชญากรรมทางเศรษฐกิจที่ร้ายแรง ไม่มีเหตุสมควรที่จะพิจารณารอการลงโทษให้แก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษามานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน