แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ยกที่ดิน 30 ไร่ให้แก่จำเลยทั้งสอง และจำเลยทั้งสองได้อุปการะเลี้ยงดูโจทก์มาประมาณ 20 ปี โจทก์ออกจากบ้านจำเลยทั้งสองไปโดยมิใช่ความผิดของจำเลยทั้งสองและขอแบ่งที่ดิน 6 ไร่ เช่นนี้ การที่จำเลยทั้งสองไม่ยอมแบ่งที่ดินดังกล่าวให้โจทก์จึงมิใช่กรณีที่จำเลยทั้งสองบอกปัดไม่ยอมให้สิ่งของจำเป็นเลี้ยงชีวิตแก่โจทก์ในเวลาที่โจทก์ยากไร้
ข้อฎีกาของโจทก์ที่ว่า จำเลยทั้งสองแจ้งผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านให้จับโจทก์โดยกล่าวหาว่าโจทก์ลักผ้าซิ่นไหม ซึ่งตามประเพณีอีสานถือว่าหมิ่นประมาทโจทก์นั้น ฟ้องของโจทก์มิได้กล่าวถึงความข้อนี้ จึงเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น แม้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้ก็เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น ฎีกาข้อนี้จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ยกวัว 3 ตัว ที่ดิน 3 แปลง ให้แก่จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นบุตรเขยและบุตรของโจทก์ ต่อมาจำเลยขับไล่โจทก์มิให้อาศัยอยู่ด้วย และด่าทอหมิ่นประมาทโจทก์ กับยังบอกปัดไม่ยอมให้สิ่งของจำเป็นเลี้ยงชีวิตแก่โจทก์ทั้ง ๆ ที่จำเลยสามารถจะให้ได้ การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการเนรคุณโจทก์ โจทก์ขอทรัพย์ที่ยกให้คืน แต่จำเลยทั้งสองไม่ยอมคืนให้ ขอให้พิพากษาให้จำเลยทั้งสองคืนวัวและที่ดินแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยทั้งสองอุปการะเลี้ยงดูโจทก์ ไม่เคยขับไล่หรือหมิ่นประมาทโจทก์ โจทก์ไปอยู่ที่อื่นโดยความสมัครใจเอง วัวและที่ดินดังกล่าวเป็นทรัพย์ที่จำเลยทั้งสองทำมาหาได้เอง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า วัว 3 ตัว และที่ดิน 3 แปลงเป็นของโจทก์ยกให้จำเลยทั้งสอง จำเลยทั้งสองไม่ได้หมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง และไม่ได้บอกปัดไม่ยอมให้สิ่งของจำเป็นเลี้ยงชีวิตแก่โจทก์ในเวลาที่โจทก์ยากไร้ จำเลยไม่ได้ประพฤติเนรคุณโจทก์ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พยานโจทก์ไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อว่าจำเลยทั้งสองหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง จำเลยทั้งสองมิได้ด่า ขู่จะฆ่าหรือขับไล่โจทก์ กรณีนี้ โจทก์ขอแบ่งนา 6 ไร่จากจำนวน 30 ไร่ เท่ากับเป็นการเรียกทรัพย์คืนบางส่วน แล้ววินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองอุปการะเลี้ยงดูโจทก์มาประมาณ 20 ปี โจทก์ออกจากบ้านจำเลยทั้งสองไปโดยมิใช่ความผิดของจำเลยทั้งสอง การที่จำเลยทั้งสองไม่ยอมแบ่งที่นาดังกล่าวให้โจทก์ มิใช่กรณีที่จำเลยทั้งสองบอกปัดไม่ยอมให้สิ่งของจำเป็นเลี้ยงชีวิตแก่โจทก์ในเวลาที่โจทก์ยากไร้
ที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยทั้งสองแจ้งผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านให้จับโจทก์ โดยกล่าวหาว่า โจทก์ลักผ้าซิ่นไหม ซึ่งตามประเพณีอีสานถือว่าหมิ่นประมาทโจทก์นั้น ในฟ้องโจทก์มิได้กล่าวถึงความข้อนี้ไว้ จึงเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นแม้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้ก็เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นฎีกาข้อนี้จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2518 มาตรา 7 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษายืน