คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3636/2550

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

การกระทำความผิดของจำเลยฐานใช้เอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการปลอมและฉ้อโกงนั้น เป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 268 วรรคแรก, 341 การกระทำความผิดของจำเลยเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทต้องลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 266 (1) ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตาม ป.อ. มาตรา 90 แม้โจทก์จะไม่ได้ระบุ ป.อ. มาตรา 266 ไว้ในคำขอท้ายฟ้อง แต่โจทก์บรรยายฟ้องแล้วว่าจำเลยปลอมหนังสือรับรองการทำประโยชน์ซึ่งเป็นเอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการ และข้อเท็จจริงตามฟ้องโจทก์สืบสม จึงเป็นการอ้างบทมาตราผิด ศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยตามฐานความผิดที่ถูกต้องได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคห้า ปัญหาข้อนี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้โจทก์จะมิได้ฎีกาในปัญหาดังกล่าว ศาลฎีกาชอบที่แก้ไขให้ถูกต้องได้

ย่อยาว

คดีนี้เดิมศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกันกับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3432/2544 ของศาลชั้นต้น แต่คดีดังกล่าวยุติไปแล้วตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 คงขึ้นมาสู่ศาลฎีกาเฉพาะคดีนี้
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 264, 265, 268, 341 ริบของกลางและให้จำเลยคืนเงิน 880,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ริบของกลาง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 265, 341 การกระทำเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 265 ซึ่งเป็นบทหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำคุก 2 ปี ให้จำเลยคืนเงิน 880,000 บาท แก่ผู้เสียหาย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังได้ว่าจำเลยได้กู้ยืมเงินจากพันโทหญิงอารี ศรีวโรทัย และได้นำหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 364 ตำบลกลางดง อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งมีชื่อจำเลยเป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์มอบให้ผู้เสียหายยึดถือไว้เป็นหลักประกัน ต่อมาผู้เสียหายไปตรวจสอบหลักฐานที่ดินที่สำนักงานที่ดินอำเภอปากช่อง ปรากฏว่า น.ส. 3 ก. ดังกล่าวเป็นเอกสารปลอมและไม่มีชื่อจำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยมีความผิดฐานใช้เอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการปลอมและฉ้อโกงหรือไม่ เห็นว่า จำเลยไม่รู้จักกับนายเล็กมาก่อน การที่จำเลยจะให้นายเล็กกู้ยืมเงินย่อมต้องใช้ความระมัดระวังในการให้กู้ยืมเงินเป็นอย่างยิ่ง การที่นายเล็กไปจดทะเบียนโอนที่ดินใส่ชื่อจำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินก่อนที่จำเลยจะมอบเงินให้ ย่อมส่อให้เห็นข้อพิรุธเป็นอย่างยิ่ง ทั้งสารบัญจดทะเบียนใน น.ส. 3 ก. ดังกล่าว ก็ปรากฏว่านายเล็กได้จดทะเบียนขายที่ดินแก่จำเลยในวันที่ 10 มกราคม 2533 อันเป็นวันก่อนที่จำเลยจะมอบหลักฐานการจดทะเบียนให้แก่นายเล็ก ขัดกับทางนำสืบของจำเลยจึงเป็นข้อพิรุธมากยิ่งขึ้น และหนังสือที่จำเลยตกลงยินยอมโอนที่ดินคืนแก่นายเล็กก็ไม่มีเหตุผลว่าเพราะเหตุใดนายเล็กจึงยินยอมให้เอกสารสำคัญนี้อยู่กับจำเลยทั้งที่จำเลยควรจะเป็นฝ่ายส่งมอบให้แก่นายเล็ก พฤติการณ์ของจำเลยแสดงให้เห็นว่าจำเลยนำ น.ส. 3 ก. ปลอมไปวางเป็นหลักประกันเงินกู้และแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่ผู้เสียหายว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง แล้วจำเลยได้เงินจากผู้เสียหายไปโดยจำเลยรู้ดีอยู่แล้วเป็น น.ส. 3 ก. ปลอมหาใช่ไม่มีเจตนาไม่ จึงไม่อาจรับฟังหักล้างพยานโจทก์ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามานั้นต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง การกระทำความผิดของจำเลยฐานใช้เอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการปลอมและฉ้อโกงนั้น เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรก, 341 การกระทำความผิดของจำเลยเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 266 (1) ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 แม้โจทก์จะไม่ได้ระบุประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 266 ไว้ในคำขอท้ายฟ้อง แต่โจทก์บรรยายฟ้องแล้วว่าจำเลยปลอมหนังสือรับรองการทำประโยชน์ซึ่งเป็นเอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการ และข้อเท็จจริงตามฟ้องโจทก์สืบสม จึงเป็นการอ้างบทมาตราผิด ศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยตามฐานความผิดที่ถูกต้องได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคห้า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 265, 341 และให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 265 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 นั้นไม่ถูกต้องปัญหาข้อนี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้โจทก์จะมิได้ฎีกาในปัญหาดังกล่าว ศาลฎีกาชอบที่แก้ไขให้ถูกต้องโดยลงโทษเท่าเดิมได้”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรก, 341 การกระทำความผิดของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 266 (1) ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3

Share