แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ผู้กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 269 จะต้องเป็นผู้ประกอบการงานวิชาชีพดังที่ระบุไว้เท่านั้น เมื่อจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของที่ดินและเป็นผู้กู้เงินจากธนาคาร ไม่ได้ประกอบวิชาชีพการประเมินราคาทรัพย์ ส่วนจำเลยที่ 3 เป็นเพียงผู้ทำรายงานการตรวจสอบที่ดินเสนอต่อ ผ. โดย ผ. เป็นผู้ลงลายมือชื่อรับรองในฐานะผู้ประเมิน จำเลยที่ 3 ไม่ได้เป็นผู้ทำคำรับรองในเอกสารดังกล่าวอันเป็นเท็จ จำเลยที่ 1และที่ 3 จึงไม่มีความผิดตามมาตรา 269
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ 30 มกราคม 2538 ถึงวันที่ 31 มกราคม 2538วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 37960 จำเลยที่ 2และจำเลยที่ 3 เป็นพนักงานของโจทก์ผู้ประกอบการงานตามหน้าที่ในวิชาชีพการสำรวจและประเมินราคาทรัพย์สิน โจทก์มอบหมายจำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้ทำการสำรวจและประเมินราคาที่ดินของจำเลยที่ 1 ดังกล่าว เพื่อเป็นหลักประกันในการที่จำเลยที่ 1 กู้เงินจากธนาคารอาคารสงเคราะห์ สาขานครปฐม จำเลยทั้งสามร่วมกันทำคำรับรองเป็นเอกสารอันเป็นเท็จ โดยทำรายงานการสรุปผลการประเมินราคาหลักประกันที่ดินอาคารตามแบบที่ธนาคารอาคารสงเคราะห์กำหนดว่าที่ดินดังกล่าวมีมูลค่า 6,820,000 บาทความจริงที่ดินแปลงดังกล่าวราคาเพียง 1,000,000 บาทเศษ ต่อมาระหว่างวันที่ 31มกราคม 2538 ถึงวันที่ 20 มีนาคม 2538 วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยทั้งสามโดยเจตนาแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบด้วยกฎหมาย กระทำการใช้คำรับรองอันเป็นเอกสารเท็จดังกล่าวเป็นหลักฐานขอกู้เงินต่อธนาคารอาคารสงเคราะห์ สาขานครปฐม จนธนาคารดังกล่าวหลงเชื่อว่าหลักทรัพย์มีราคาประเมินตามคำรับรอง จึงให้จำเลยที่ 1 กู้เงิน4,340,000 บาท หากจำเลยทั้งสามไม่ทำคำรับรองเป็นเอกสารอันเป็นเท็จ ธนาคารจะไม่ให้กู้ได้ถึงเพียงนั้น ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เพราะต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายให้แก่ธนาคารอาคารสงเคราะห์ เหตุเกิดที่ ตำบลพระประโทน อำเภอเมืองนครปฐมจังหวัดนครปฐม และตำบลท่าตำหนัก อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม เกี่ยวพันกันจำเลยที่ 3 เป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยที่ 3 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2105/2542และ 2106/2542 ของศาลชั้นต้น ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 269,83 และนับโทษจำเลยที่ 3 ต่อจากโทษในคดีดังกล่าว
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ 3 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยที่ 3ในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 269 วรรคแรก ประกอบด้วย มาตรา 86, มาตรา 269 วรรคสอง จำเลยที่ 3มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 269 วรรคแรกและวรรคสอง ลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานใช้หรืออ้างคำรับรองเป็นเอกสารอันเป็นเท็จ จำคุก 6 เดือน และปรับ4,000 บาท จำเลยที่ 1 อาจกระทำไปโดยขาดความยั้งคิดเพื่อให้ได้เงินกู้จำนวนมากแต่จำเลยที่ 1 ผ่อนชำระหนี้ให้แก่ธนาคารตลอดมาและไม่ปรากฏว่าเคยต้องโทษจำคุกมาก่อน เห็นสมควรให้โอกาสจำเลยที่ 1 กลับตัวเป็นพลเมืองดีต่อไป โทษจำคุกรอการลงโทษไว้ 2 ปี หากไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30จำเลยที่ 3 ให้จำคุก 6 เดือน ทางนำสืบของจำเลยที่ 3 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก4 เดือน และให้นับโทษจำเลยที่ 3 ในคดีนี้ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2105/2542 และ 2106/2542 ของศาลชั้นต้น ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2
จำเลยที่ 1 และที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ สำหรับจำเลยที่ 1 และที่ 3ด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังยุติว่า โจทก์เป็นบริษัทจำกัดมีวัตถุประสงค์ประกอบธุรกิจประเมินราคาอสังหาริมทรัพย์ จำเลยที่ 3 เป็นพนักงานของโจทก์สาขานครปฐม โจทก์ทำสัญญารับจ้างประเมินราคาอสังหาริมทรัพย์และประเมินราคาทรัพย์สินกับธนาคารอาคารสงเคราะห์ ตามสำเนาสัญญาจ้างสำรวจและประเมินราคาทรัพย์สินเอกสารหมาย จ.4 ที่ดินโฉนดเลขที่ 37960 ตำบลโคกหม้อ อำเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี เดิมเป็นกรรมสิทธิ์ของนายสมบูรณ์ ทรัพย์ถวิลหา ต่อมาเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 เป็นผู้กู้เงินจากธนาคารอาคารสงเคราะห์ สาขานครปฐม โดยใช้ที่ดินดังกล่าวเป็นหลักประกัน ธนาคารอาคารสงเคราะห์ สาขานครปฐมจึงส่งเรื่องให้โจทก์ทำการประเมินราคา จำเลยที่ 1 พาจำเลยที่ 3 ไปตรวจสอบที่ดินเสร็จแล้วจำเลยที่ 3 ทำรายงานเสนอต่อนายเผด็จ สุวรรณมณี ลงลายมือชื่อในฐานะผู้ประเมิน และจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อในฐานะผู้จัดการ โดยจำเลยที่ 3 เสนอราคาประเมินที่ดินมีมูลค่า 6,820,000 บาท ตามสำเนาแบบสรุปผลการประเมินราคาหลักประกันที่ดินอาคารเอกสารหมาย จ.5 โจทก์ได้ส่งเอกสารดังกล่าวให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์ สาขานครปฐม ในที่สุดธนาคารอาคารสงเคราะห์ สาขานครปฐมตกลงให้จำเลยที่ 1 กู้เงินจำนวน 4,340,000 บาท ตามสำเนาหนังสือสัญญากู้เงินและสำเนาหนังสือสัญญาจำนองที่ดินเป็นประกันเอกสารหมาย จ.6 และ จ.7 ต่อมาธนาคารอาคารสงเคราะห์ สาขานครปฐม แจ้งว่าราคาประเมินดังกล่าวสูงเกินความจริง โจทก์จึงออกไปตรวจสอบใหม่ จึงทราบว่าที่ดินดังกล่าวมีมูลค่าเพียง 1,612,000 บาท ตามสำเนาแบบสรุปผลการประเมินราคาหลักประกันที่ดินอาคารเอกสารหมาย จ.8 ธนาคารอาคารสงเคราะห์ สาขานครปฐม จึงมีหนังสือแจ้งให้โจทก์นำหลักประกันไปวางเพื่อเป็นประกันความเสียหาย ตามสำเนาหนังสือเอกสารหมาย จ.9
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยที่ 1 และที่ 3 มีความผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ แต่เห็นสมควรหยิบยกปัญหาข้อกฎหมายขึ้นวินิจฉัยก่อนกล่าวคือ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 269 วรรคแรก บัญญัติว่า “ผู้ใดในการประกอบการงานในวิชาแพทย์ กฎหมาย บัญชีหรือวิชาชีพอื่นใด ทำคำรับรองเป็นเอกสารอันเป็นเท็จ…” เห็นว่า ผู้กระทำความผิดตามมาตรานี้จะต้องเป็นผู้ประกอบการงานวิชาชีพดังที่ระบุไว้เท่านั้น จำเลยที่ 1 เป็นผู้กู้เงินจากธนาคารอาคารสงเคราะห์ สาขานครปฐมไม่ได้ประกอบวิชาชีพการประเมินราคาทรัพย์ และไม่ได้ทำคำรับรองในแบบสรุปผลการประเมินราคาหลักประกันที่ดินอาคารตามสำเนาเอกสารหมาย จ.5 ส่วนจำเลยที่ 3เป็นเพียงผู้ทำรายงานการตรวจสอบที่ดินและเสนอต่อนายเผด็จ สุวรรณมณี โดยนายเผด็จเป็นผู้ลงลายมือชื่อรับรองในฐานะผู้ประเมินในเอกสารหมาย จ.5 จำเลยที่ 3 จึงไม่ได้เป็นผู้ทำคำรับรองในเอกสารดังกล่าว การกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 3ไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 269 ดังที่โจทก์ฟ้อง จำเลยที่ 1และที่ 3 จึงไม่มีความผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นและไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ต่อไป ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน