คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1403/2515

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่าทางพิพาทเป็นทางสาธารณะ แต่ตอนท้ายคำฟ้องบรรยายว่า หรือไม่เช่นนั้นทางพิพาทตกเป็นภารจำยอมโดยอายุความแล้วนั้น ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
การนำสืบเขตติดต่อที่ดินที่มีโฉนด ไม่มีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดงย่อมนำสืบพยานบุคคลได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่า ที่ดินของโจทก์ด้านหนึ่งติดที่ดินโฉนดของจำเลย ครั้นนำสืบกลับนำสืบว่าที่ดินของโจทก์ติดทางสาธารณะซึ่งเป็นการนำสืบในประเด็นข้อพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยว่าที่ดินของจำเลยซึ่งติดกับที่ดินโจทก์ตามฟ้องตกเป็นทางสาธารณะหรือตกอยู่ในภารจำยอมไปแล้ว หาต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 94(ข) ไม่
โจทก์ฟ้องหรือนำพยานเข้าสืบโดยพยานจะเรียกทางพิพาทว่าเป็นทางสาธารณะหรือทางภารจำยอมนั้น หาทำให้ทางพิพาทเป็นทางสาธารณะหรือภารจำยอมตามที่เรียกขานไม่ หากฟังได้ว่าเป็นทางภารจำยอม ศาลย่อมจะพิพากษาได้ว่าทางพิพาทเป็นทางตกอยู่ในภารจำยอม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โฉนดเลขที่ 1684 ตำบลปากน้ำโพ อำเภอเมืองนครสวรรค์ ทิศเหนือจดลำรางสาธารณะ ทิศใต้จดถนนโกสีย์ ทิศตะวันออกและทิศตะวันตกจดที่ดินเอกชน เดิมเป็นกรรมสิทธิ์ของนายปุ่นนางผิว นายปุ่นนางผิวเว้นตรงกลางที่ดินเพื่อให้ประชาชนใช้สอยร่วมกันไปออกถนนโกสีย์ เป็นเวลากว่า 30 ปี พ.ศ. 2481 นายปุ่นนางผิวแบ่งขายที่ดินตอนติดถนนโกสีย์ให้นางงิ้ว แซ่ฉั่วเว้นทางสาธารณะไว้ พ.ศ. 2494 นายปุ่นโอนขายที่ดินที่เหลือให้นางสำเภา นางสำเภายังปล่อยให้ประชาชนใช้ทางที่เว้นไว้เป็นทางสาธารณะ พ.ศ. 2496 นางสำเภาแบ่งแยกที่ดินด้านตะวันออกเป็นสามแปลง ยกให้บุตร ส่วนทางที่เว้นไว้คงให้เป็นทางสาธารณะดังเดิม ต่อมาบุตรนางสำเภาโอนที่ดินที่ได้รับด้านตะวันตกบางส่วนคืนให้นางสำเภา ต่อมานางสำเภาและบุตรได้แบ่งแยกที่ดินออกเป็น 8 แปลง แล้วโอนขายให้โจทก์และบุคคลอื่น ส่วนที่ดินที่ตกเป็นของนางสาวสุมน นางสาวสุมนขายให้จำเลย โจทก์ บริวารของโจทก์รวมทั้งบุคคลอื่น ๆ ต่างได้ใช้ทางสาธารณะดังกล่าวมากว่า 10 ปี ไม่มีผู้ใดห้ามปรามขัดขวาง เมื่อ 6-7 เดือนมานี้ จำเลยทำบานประตูติดกับเสาตรงทางที่เชื่อมกับถนนโกสีย์ ปิดบานประตูใช้โซ่ร้อยลั่นกุญแจเปิดเฉพาะเวลากลางวัน บางวันเพียง 2-3 ชั่วโมง โจทก์บางคนไม่สามารถใช้รถยนต์เข้าออกได้ เมื่อทางสายนี้กลายเป็นทางสาธารณะและตกอยู่ใต้ภารจำยอมของที่ดินโจทก์ จำเลยจึงไม่มีสิทธิที่จะปิดกั้นทาง ขอให้พิพากษาห้ามจำเลยและบริวารปิดกั้นทาง ให้จำเลยและบริวารรื้อถอนบานประตูที่ปิดกั้นออกและพิพากษาว่าทางซึ่งมีความกว้างประมาณ 6 เมตรเศษ ยาวประมาณ 48 เมตร ในโฉนดที่ 1684 เป็นทางสาธารณะ หากไม่อาจพิพากษาว่าเป็นทางสาธารณะได้ ก็ขอให้พิพากษาว่าทางดังกล่าวเป็นทางเดิมที่โจทก์และบุคคลอื่นได้สิทธิแห่งภารจำยอมโดยอายุความ ที่ดินโฉนดที่ 1684 ของจำเลยตกอยู่ภายในภารจำยอม โจทก์บริวารโจทก์ และบุคคลอื่น มีสิทธิจะใช้รถยนต์และผ่านที่ดินดังกล่าวตามสัดส่วนที่ใช้มานานเพื่อไปสู่ถนนโกสีย์อันเป็นทางสาธารณะตามแผนที่ท้ายฟ้อง

จำเลยให้การว่า นายปุ่นนางผิวไม่ได้เว้นที่ดินตรงกลางโฉนดเป็นถนนให้ประชาชนใช้ โจทก์รับโอนที่ดินมายังไม่ถึง 10 ปี โจทก์อาศัยสิทธิของจำเลยเดิมเข้าออกตรงกลางที่ดิน

โจทก์บรรยายฟ้องโดยตั้งประเด็นขอให้จำเลยเปิดเป็นทางสาธารณะแต่ตามข้อเท็จจริงที่โจทก์บรรยายในฟ้อง เป็นที่ดินอยู่ในโฉนดของจำเลย หากข้อเท็จจริงเป็นดังโจทก์ฟ้อง โจทก์ก็ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะโจทก์กับพวกไม่ใช่ผู้เสียหาย

ฟ้องโจทก์ตอนแรกว่าเป็นทางสาธารณะ ตอนหลังกลับว่าเป็นทางภารจำยอมขัดกัน ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุม หากโจทก์ใช้ถนนจนได้ภารจำยอมโดยอายุความ โจทก์ก็ไม่ได้จดทะเบียนสิทธิไม่อาจใช้ยันจำเลยซึ่งเป็นบุคคลภายนอกซึ่งได้มาโดยนิติกรรมซื้อขายเสียค่าตอบแทน และได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริต ทางที่โจทก์ฟ้องหากเป็นภารจำยอมการเปลี่ยนแปลงการครอบครองแต่ละโฉนดเป็นส่วนสัดยังไม่ถึง 10 ปี การโอนกรรมสิทธิ์ที่จำเลยได้รับมา หากก่อให้เกิดภารจำยอมขึ้นอีก อายุความนับถึงปัจจุบันก็ยังไม่ถึง 10 ปี

ศาลชั้นต้นเห็นว่า ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม พิพากษาว่า ตรอกพิพาทตามแผนที่ท้ายฟ้องภายในเส้นสีแดงกว้าง 6.90 เมตร ยาว 48 เมตร เป็นทางภารจำยอม ให้จำเลยรื้อสิ่งปลูกสร้างที่ขวางตรอกพิพาทออกไป

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ฟ้องโจทก์บรรยายข้อความให้เป็นที่เข้าใจได้ว่าได้มีการเว้นทางพิพาทไว้ให้บุคคลทั่วไปรวมทั้งบุคคลซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินที่ติดกับทางพิพาทได้ใช้ทางพิพาทเป็นเวลานานกว่า 30 ปี โจทก์จึงอ้างว่าทางพิพาทเป็นทางสาธารณะหรือตกอยู่ในภารจำยอม จึงขอให้ศาลพิพากษาว่าทางพิพาทเป็นทางสาธารณะ หรือมิฉะนั้นก็ขอให้พิพากษาว่าเป็นภารจำยอม คำฟ้องของโจทก์จึงแสดงโดยชัดแจ้ง ซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้ว ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม

ที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์สืบพยานเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสาร เพราะโจทก์บรรยายฟ้องว่าที่ดินของโจทก์ทุกแปลงมีโฉนด แต่ละโฉนดด้านหนึ่งติดกับที่ดินโฉนดของจำเลย ครั้นเวลานำสืบกลับนำสืบว่าที่ดินของโจทก์ติดทางสาธารณะนั้น เห็นว่า การนำสืบของโจทก์เป็นการนำสืบถึงเหตุผลตามข้ออ้างของโจทก์ ซึ่งโจทก์เข้าใจว่าที่ดินของจำเลย ส่วนที่เป็นทางพิพาทกลายเป็นทางสาธารณะไปแล้ว ที่ดินของโจทก์จึงติดทางสาธารณะ เป็นการนำสืบในประเด็นข้อพิพาทระหว่างโจทก์จำเลยว่าที่ดินของจำเลยอยู่ติดกับที่ดินของโจทก์ ตามฟ้องตกเป็นทางสาธารณะหรือตกอยู่ในภารจำยอมไปแล้ว ซึ่งไม่มีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง โจทก์จึงนำสืบพยานบุคคลได้

ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์นำสืบว่าตรอกพิพาทเป็นทางสาธารณะจึงฟังไม่ได้ว่าตรอกพิพาทเป็นทางภารจำยอม การที่ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าตรอกพิพาทเป็นทางภารจำยอมจึงเป็นการคลาดเคลื่อนนั้น เห็นว่า โจทก์ฟ้องหรือนำพยานเข้าสืบโดยพยานจะเรียกทางพิพาทว่าเป็นทางสาธารณะหรือทางภารจำยอมนั้น หาทำให้ทางพิพาทเป็นทางสาธารณะหรือภารจำยอมตามที่เรียกขานไม่ ข้อสำคัญอยู่ที่ว่าตามโจทก์ฟ้องและข้อนำสืบของโจทก์แสดงให้เห็นถึงสภาพของทางพิพาทว่าเป็นทางชนิดใด หากฟังได้ว่าเป็นทางภารจำยอม ศาลก็ย่อมจะพิพากษาได้ว่าเป็นทางที่ตกอยู่ในภารจำยอม ทางพิพาทซึ่งอยู่ในที่ดินของจำเลยอยู่ในภารจำยอมโดยอายุความ

พิพากษายืน

Share