คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3635/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์กับพวกเคยถูกจำเลยฟ้องและตกลงทำสัญญาประนีประนอม ยอมความต่อหน้าศาลว่า โจทก์กับพวกยอมร่วมกันชำระเงินจำนวน 17,188,274.38 บาท ให้แก่จำเลยพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 16 ต่อปี ในต้นเงิน 13,400,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จ โดยโจทก์กับพวกจะชำระทั้งหมดภายในกำหนด 6 เดือน นับแต่วันทำ สัญญาประนีประนอมยอมความ หากผิดนัด ยอมให้จำเลยยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาด หากได้เงินไม่พอ ชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของโจทก์กับพวกชำระหนี้จนครบศาลได้พิพากษาตามยอม คดีถึงที่สุดแล้วหากคู่ความฝ่ายใดไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความก็จะต้องมีการบังคับคดีให้เป็นไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ต่อมาโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา และจำเลยได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาด เมื่อยังขายทอดตลาดทรัพย์จำนองไม่ได้การบังคับคดีตามสัญญาประนีประนอมยอมความจึงยังไม่เสร็จสิ้นและจะต้องดำเนินการต่อไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความและ คำพิพากษาตามยอมจำเลยจะบังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินอื่นของ โจทก์ได้ก็ต่อเมื่อการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองได้เงินไม่พอชำระหนี้ตามที่กำหนดไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความจำเลยย่อมไม่มีสิทธิได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินอื่นของโจทก์การที่จำเลยหักบัญชีเงินฝากของโจทก์ชำระหนี้ตามสัญญา ประนีประนอมยอมความ จึงเป็นการปฏิบัตินอกเหนือและผิดไปจาก ที่กำหนดไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความ จำเลยจะอ้างว่าเป็น การหักกลบลบหนี้มิได้เพราะโจทก์และจำเลยมีข้อสัญญาที่จะต้อง ปฏิบัติต่อกันอยู่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้กระทำโดยพลการและไม่สุจริตหักเงินในบัญชีเงินฝากของโจทก์ ซึ่งฝากไว้กับธนาคารจำเลยจำนวน 370,462.82 บาท ชำระหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมของศาลจังหวัดเชียงใหม่ ในคดีหมายเลขแดงที่ 2588/2537 โดยฝ่าฝืนคำพิพากษาตามยอมที่กำหนดให้ยึดทรัพย์ที่ดินจำนองของโจทก์ชำระหนี้ก่อน หากได้เงินจากการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองไม่พอชำระหนี้ทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยแล้วจึงให้ยึดทรัพย์สินอื่นของโจทก์ ซึ่งเป็นจำเลยที่ 1ในคดีดังกล่าวกับจำเลยที่ 2 ในคดีนั้นชำระหนี้แก่จำเลยคดีนี้จนครบถ้วน ขอให้บังคับจำเลยนำเงินจำนวน 370,462.82 บาทมาเข้าบัญชีเงินฝากคืนให้แก่โจทก์ที่ธนาคารจำเลยสาขาหางดงบัญชีเลขที่ 459-0-173227 เป็นเงิน 1,494.39 บาท และที่สาขานานาเหนือ บัญชีเลขที่ 197-0-225676 จำนวน 368,968.43 บาทพร้อมชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์นับตั้งแต่วันที่ 28 เมษายน 2540 ตามอัตราเงินฝากเป็นต้นไปจนกว่าโจทก์จะถอนเงินคืนมาได้
จำเลยให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยนำเงินจำนวน 370,462.82 บาทเข้าบัญชีเงินฝากให้แก่โจทก์ ที่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)สาขาหางดง บัญชีเลขที่ 459-0-173227 ตั้งแต่วันที่ 28 เมษายน 2540เป็นเงินจำนวน 1,494.39 บาท และที่สาขานานาเหนือบัญชีเลขที่ 197-0-225676 ตั้งแต่วันที่ 28 เมษายน 2540 เป็นเงินจำนวน 368,968.43 บาท พร้อมชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์นับตั้งแต่วันที่28 เมษายน 2540 ตามอัตราเงินฝากเป็นต้นไปจนกว่าโจทก์จะมีสิทธิถอนเงินคืนมาได้ ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 2,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์ปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังยุติว่า เดิมจำเลยเป็นโจทก์ฟ้องบังคับจำนองจากโจทก์ซึ่งเป็นจำเลยที่ 1 กับพวก (ผู้ค้ำประกัน)ในที่สุดคู่ความตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อหน้าศาลใจความว่าจำเลยที่ 1 กับพวกยอมร่วมกันชำระเงินจำนวน 17,188,274.38 บาทให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 16 ต่อปี ในต้นเงิน13,400,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จหนี้ดังกล่าวจำเลยที่ 1 กับพวกจะชำระทั้งหมดภายในกำหนด 6 เดือนนับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความ หากผิดนัดยอมให้โจทก์ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาด หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 1 กับพวก ชำระหนี้จนครบ ศาลได้พิพากษายอม คดีถึงที่สุดแล้วตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 2588/2537 ของศาลจังหวัดเชียงใหม่ต่อมาเกิดมีการผิดนัดและมีการยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดโดยเจ้าพนักงานบังคับคดีประกาศขายทอดตลาดทรัพย์จำนองแล้ว 4 ครั้งแต่ไม่มีผู้เข้าประมูลซื้อทรัพย์ดังกล่าว จำเลยในคดีนี้จึงได้นำหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมไปหักจากบัญชีเงินฝากของโจทก์ในคดีนี้ที่ธนาคารจำเลยสาขาหางดง และสาขานานาเหนือ รวมเป็นเงินจำนวน370,462.82 บาท
คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า จำเลยมีสิทธินำหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมไปหักจากบัญชีเงินฝากของโจทก์หรือไม่ เห็นว่าเมื่อโจทก์และจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลพิพากษาตามยอมแล้วขั้นตอนต่อไปหากคู่ความฝ่ายใดไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความก็จะต้องมีการบังคับคดีให้เป็นไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ซึ่งปรากฎต่อมาว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาและจำเลยก็ได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดแล้วยังขายไม่ได้ เมื่อยังขายทอดตลาดทรัพย์จำนองไม่ได้ การบังคับคดีตามสัญญาประนีประนอมยอมความจึงยังไม่เสร็จสิ้นและจะต้องดำเนินการต่อไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอม จำเลยจะบังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินอื่นของโจทก์ก็ต่อเมื่อการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองได้เงินไม่พอชำระหนี้การขายทอดทรัพย์จำนองยังไม่ได้มิใช่กรณีขายแล้วได้เงินไม่พอชำระหนี้ตามที่กำหนดไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความ จำเลยจึงยังไม่มีสิทธิได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินอื่นของโจทก์ การที่จำเลยหักบัญชีเงินฝากของโจทก์ชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ จึงเป็นการปฏิบัตินอกเหนือและผิดไปจากที่กำหนดไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความ จำเลยไม่อาจทำได้ และจำเลยจะอ้างว่าเป็นการหักกลบลบหนี้ก็มิได้เพราะโจทก์และจำเลยมีข้อสัญญาที่จะต้องปฏิบัติต่อกันอยู่
พิพากษายืน

Share