คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3635/2529

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องอ้างว่าจำเลยออก น.ส.3 ให้โจทก์ไม่เต็มตามเนื้อที่ดินของโจทก์ ข้อเท็จจริงที่ยุติมีว่า น.ส.3 ที่โจทก์รับมานั้นไม่เต็มเนื้อที่ดินที่โจทก์อ้างขาดไป 16 ตารางวา ซึ่งส่วนที่ขาดนี้ตามคำฟ้องโจทก์อ้างว่าโจทก์ครอบครองอยู่ไม่ได้ยกให้เป็นทางสาธารณะ จำเลยให้การว่าโจทก์ยกส่วนนี้ให้เป็นทางสาธารณะ จึงเป็นข้อเท็จจริงที่โต้แย้งกันอยู่ ต้องฟังพยานหลักฐานของทั้งสองฝ่ายต่อไป การที่โจทก์ยอมรับเอาน.ส.3 ไปทั้งที่เนื้อที่ดินตาม น.ส.3ขาดไป 16 ตารางวานั้นข้อเท็จจริงเพียงเท่านี้จะถือว่าที่ดินที่ไม่อยู่ใน น.ส.3ของโจทก์นั้นถูกแย่งการครอบครองยังมิได้ ถึงแม้โจทก์จะรับน.ส.3 ไปเกิน1 ปี เมื่อมิใช่กรณีแย่งการครองครอง จึงถือว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของสิทธิในที่ดิน 1 แปลง เนื้อที่ 1 งาน8 ตารางวา อยู่หมู่ที่ 2 ตำบลบ้านเขว้า อำเภอบ้านเขว้า จังหวัดชัยภูมิ ใช้ปลูกบ้านอยู่อาศัยและยุ้งข้าว ได้ครอบครองโดยสงบและโดยเปิดเผยเป็นเวลากว่า 40 ปี ได้แจ้งการครอบครองแบบ ส.ค.1 ไว้เมื่อ พ.ศ. 2498 เมื่อพ.ศ. 2518 เจ้าหน้าที่ของทางราชการผู้ทำการรังวัดพิสูจน์สอบสวนสิทธิและการทำประโยชน์ในที่ดินซึ่งอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของจำเลยที่ 2 กระทำการฉ้อฉลโดยอาศัยการที่โจทก์ไม่สามารถอ่านหนังสือออกและเขียนได้ กรอกข้อความอันเป็นเท็จลงในแบบบันทึกการสอบสวนสิทธิและพิสูจน์การทำประโยชน์เพื่อออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์โดยใช้รูปถ่ายทางอากาศว่า่ เขตติดต่อที่ดินของโจทก์ด้านทิศตะวันออกจดทางสาธารณประโยชน์ แล้วหลอกลวงโจทก์ว่ารังวัดพิสูจน์สอบสวนเสร็จจะออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ตามจำนวนเนื้อที่และเขตติดต่อตามความเป็นจริงตามแบบ ส.ค.1 พร้อมกับให้โจทก์พิมพ์ลายหัวแม่มือในแบบบันทึกการสอบสวนสิทธิและพิสูจน์การทำประโยชน์ ต่อมาจำเลยที่ 2ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ น.ส. 3 ก. ที่ดินของโจทก์ มีเนื้อที่ขาดไป16 ตารางวา โดยเว้นเขตติดต่อที่ดินโจทก์ด้านทิศตะวันออกว่าเป็นทางสาธารณประโยชน์ ความจริงเขตติดต่อด้านทิศตะวันออกของที่ดินโจทก์จดที่ดินนายแสงไม่มีทางสาธารณประโยชน์คั่นกลางแต่อย่างใด โจทก์ไม่เคยแสดงเจตนาอุทิศที่ดินของโจทก์ให้เป็นทางสาธารณประโยชน์ โจทก์ยังใช้สิทธิเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทตลอดมา มิได้ทอดทิ้งให้บุคคลอื่นใช้เป็นทางสาธารณประโยชน์ เมื่อวันที่10 พฤษภาคม 2525 โจทก์จะนำหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวไปกู้เงินจากธนาคาร จึงทราบว่าหนังสือรับรองการทำประโยชน์ฉบับนี้คลาดเคลื่อนโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ร้องเรียนขอให้จำเลยทั้งสองดำเนินการเพิกถอนและออกฉบับใหม่แต่ไม่เป็นผล ขอให้ศาลสั่งแสดงว่าที่ดินส่วนที่พิพาทที่จำเลยทั้งสองอ้างว่าเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์เป็นที่ดินของโจทก์ ห้ามมิให้จำเลยทั้งสองเกี่ยวข้องต่อไป ให้จำเลยทั้งสองดำเนินการเพื่อให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2 แล้ว ออกฉบับใหม่แทนให้มีเนื้อที่และอาณาเขตที่ถูกต้อง ถ้าจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง

จำเลยทั้งสองให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม โจทก์ทราบถึงการถูกโต้แย้งสิทธิเกี่ยวกับเนื้อที่ดินพิพาทตั้งแต่วันที่ 12 มิถุนายน 2518 เพิ่งมาฟ้องคดีนี้ คดีขาดอายุความ โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทหรือไม่ ครอบครองโดยสงบและโดยเปิดเผยเป็นเวลากว่า 40 ปีหรือไม่ไม่รับรองเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 2กระทำการตามขั้นตอนของกฎหมายในการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินพิพาทถูกต้องตามความเป็นจริงและโดยสุจริต การรังวัดตรวจสอบเขตที่ดินสอบสวนสิทธิและการทำประโยชน์ในที่ดินเพื่อออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินพิพาท โจทก์กับผู้มีที่ดินติดต่อใกล้เคียงตกลงยกที่ดินด้านทิศตะวันออกของที่ดินของโจทก์เนื้อที่ 16 ตารางวา ให้เป็นสาธารณประโยชน์ทางราชการประกาศการรังวัดตรวจสอบเขตที่ดินและสอบสวนสิทธิในการทำประโยชน์ในที่ดินเพื่อออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินพิพาท โจทก์มิได้คัดค้าน การออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินพิพาทจึงถูกต้องสมบูรณ์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ยกฟ้อง

ในวันนัดชี้สองสถาน คู่ความแถลงรับกันว่า โจทก์แจ้งการครอบครองที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน ส.ค.1 เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1

ต่อมาโจทก์ขอให้เจ้าพนักงานออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2 ให้แก่โจทก์เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2518 โจทก์รับไปแล้วเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2518

ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้ว จึงให้งดชี้สองสถานและงดสืบพยานโจทก์ จำเลย แล้ววินิจฉัยว่า ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เอกสารท้ายฟ้องระบุเนื้อที่ดินและเขตติดต่อด้านทิศตะวันออกของที่ดินโจทก์ติดกับทางสาธารณประโยชน์ โจทก์รับหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2518 โจทก์ทราบข้อเท็จจริงในวันนั้น แต่มิได้ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองภายใน 1 ปี นับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 โจทก์หมดสิทธิฟ้องร้องคดีนี้พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คดีนี้มิใช่กรณีผู้ครอบครองที่ดินถูกแย่งการครอบครอง จะนำมาตรา 1375 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาบังคับแก่คดีโจทก์ตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยและอาศัยเป็นเหตุยกฟ้องเพราะโจทก์มิได้ฟ้องคดีภายใน 1 ปีไม่ได้ เนื่องจากจำเลยทั้งสองให้การว่าโจทก์ยินยอมยกที่ดินด้านทิศตะวันออกของที่ดินโจทก์ให้เป็นทงสาธารณประโยชน์อันเป็นข้อเท็จจริงซึ่งยังไม่ยุติชอบที่ศาลชั้นต้นจะสืบพยานทั้งสองฝ่ายให้สิ้นกระแสความ พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วพิพากษาใหม่

จำเลยทั้งสองฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พิเคราะห์แล้วโจทก์ฟ้องอ้างว่าจำเลยออก น.ส.3ให้โจทก์ไม่เต็มตามเนื้อที่ดินของโจทก์ ข้อเท็จจริงที่ยุติตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นมีว่า น.ส. 3 ที่โจทก์รับมานั้นไม่เต็มเนื้อที่ดินที่โจทก์อ้าง ขาดไป16 ตารางวา ซึ่งส่วนที่ขาดนี้ตามคำฟ้องของโจทก์อ้างว่าโจทก์ครอบครองอยู่ไม่ได้ยกให้เป็นทางสาธารณะ จึงเป็นข้อเท็จจริงที่ยังโต้แย้งกันอยู่ ต้องฟังพยานหลักฐานของทั้งสองฝ่ายต่อไป การที่โจทก์ยอมรับเอา น.ส.3 ไปทั้งที่เนื้อที่ดินตาม น.ส.3ขาดไป 16 ตารางวานั้น ข้อเท็จจริงเพียงเท่านี้จะถือว่าที่ดินที่ไม่อยู่ใน น.ส.3ของโจทก์นั้นถูกแย่งการครอบครองยังมิได้ ถึงแม้โจทก์จะรับ น.ส.3 ไปเกิน 1 ปี เมื่อมิใช่กรณีแย่งการครอบครอง จึงถือว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องไม่ได้ ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาและสืบพยานโจทก์จำเลยให้สิ้นกระแสความแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดีชอบแล้ว

พิพากษายืน

Share