แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลพิพากษาตามยอมแล้ว จำเลยก็ต้องปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอม จะอ้างเหตุดังที่จำเลยนำสืบมาบ่ายเบี่ยงหรือหน่วงเหนี่ยวมิให้เป็นไปตามคำพิพากษาตามยอมโดยที่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งที่ทำยอมมิได้ตกลงด้วยหาได้ไม่ การที่จำเลยกระทำการเกี่ยวกับทรัพย์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ทำให้ยุ่งยากแก่การบังคับคดีให้เป็นไปตามคำพิพากษาตามยอม จึงเป็นการเพื่อจะมิให้การเป็นไปตามคำพิพากษาตามยอมของศาลทำให้เสียหายซึ่งทรัพย์ที่จำเลยรู้ว่าน่าจะถูกยึดหรืออายัด อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 187
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 187, 91
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 187 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำคุกกระทงละ 6 เดือน และปรับกระทงละ 6,000 บาท รวมสองกระทงเป็นจำคุก 12 เดือน และปรับ 12,000 บาท ไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยต้องโทษจำคุกมาก่อน ประกอบพฤติการณ์แห่งคดีเห็นควรให้โอกาสจำเลยกลับตนเป็นพลเมืองดี ให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี หากจำเลยไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยมีความผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาว่า พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักรับฟังได้และครบองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 187 แล้วว่าจำเลยกระทำผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ตามฎีกาของโจทก์ เมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริงที่รับฟังได้ในเบื้องต้นดังกล่าว และคำเบิกความของนายมงคล นายสมศักดิ์ เจ้าพนักงานที่ดินผู้จดทะเบียนแบ่งเช่าที่ดินโฉนดเลขที่ 8 กับพันตำรวจโทบุญเลิศ พนักงานสอบสวน พยานโจทก์ ตลอดแล้ว เห็นว่า หลังจากทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมแล้ว หากทางฝ่ายโจทก์หรือฝ่ายจำเลยหรือทางศาลแจ้งให้เจ้าพนักงานที่ดินทราบ เจ้าพนักงานที่ดินก็จะไม่จดทะเบียนแบ่งเช่าและแบ่งแยกให้ เพราะตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 2 จำเลยตกลงยกให้เป็น 6 ส่วน เท่าๆ กัน การที่จำเลยขอจดทะเบียนแบ่งเช่าให้นายบุญพิสิฐเช่าและขอจดทะเบียนแบ่งแยกเป็นชื่อของจำเลยเองโดยที่มิได้แจ้งเจ้าพนักงานที่ดิน เห็นได้ว่าก็เพื่อจะมิให้การเป็นการไปตามคำพิพากษาศาลตามยอมนั่นเอง และการที่จำเลยดำเนินการจดทะเบียนแบ่งเช่าโดยให้นายบุญพิสิฐเช่านานถึง 10 ปี และเมื่อแบ่งแยกแล้วทั้งสองแปลงก็ยังคงติดภาระการเช่า 10 ปี ทำให้ยุ่งยากแก่การบังคับคดีให้เป็นไปตามคำพิพากษาตามยอม เช่น แทนที่จะแบ่งเป็น 6 ส่วน เท่าๆ กัน ได้ทันทีที่มีความพร้อม ก็อาจจะต้องไปพิพาทกับผู้เช่าก่อน ย่อมเป็นการทำให้เสียหายซึ่งที่ดินโฉนดเลขที่ 8 อยู่ในตัว นอกจากนี้ในการบังคับคดีให้เป็นไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 2 ก็อาจจะต้องยึดหรืออายัดทรัพย์ตามที่ระบุไว้ในข้อ 2 ซึ่งรวมทั้งที่ดินโฉนดเลขที่ 8 ด้วย ที่ดินโฉนดเลขที่ 8 จึงเป็นทรัพย์ที่น่าจะถูกยึดหรืออายัด ไม่ใช่ไม่เป็นทรัพย์ที่ถูกยึดทรัพย์หรือน่าจะถูกยึดดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 วินิจฉัย และจำเลยเคยรับราชการมานานเชื่อว่าจำเลยรู้ดีว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 8 น่าจะถูกยึดหรืออายัดในชั้นบังคับคดีภายหน้า พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักมั่นคง ส่วนพยานจำเลยที่จำเลยนำสืบทำนองว่า จำเลยโอนใบอนุญาตให้จัดตั้งโรงเรียนแก่นายบุญพิสิฐ และทำหนังสือสัญญาเช่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้างกันเองให้นายบุญพิสิฐเช่าที่ดินที่ตั้งของโรงเรียนทั้งสามพร้อมสิ่งปลูกสร้าง 10 ปี ต่อมาทางราชการทักท้วงว่าจะต้องจดทะเบียนการเช่าด้วย เมื่อจะจดทะเบียนการเช่าที่ดินอันเป็นที่ตั้งของโรงเรียนเปี่ยมเมธีวิทยาคารก็ไม่อาจกระทำได้เพราะที่ดินถูกอายัด ประกอบกับขณะนั้นได้ขอเลิกกิจการโรงเรียนเปี่ยมเมธีโปลีเทคนิค จึงจะย้ายสถานที่ตั้งโรงเรียนเปี่ยมเมธีวิทยาคารแทนที่โรงเรียนเปี่ยมเมธีโปลีเทคนิค ซึ่งอยู่ห่างกัน 1 กิโลเมตร มิฉะนั้นโรงเรียนเปี่ยมเมธีวิทยาคารอาจถูกเลิกกิจการไปด้วยซึ่งจะทำให้ครูและนักเรียนจำนวนมากเดือดร้อน จึงได้จดทะเบียนแบ่งเช่าและแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 8 อันเป็นที่ตั้งของโรงเรียนเปี่ยมเมธีโปลีเทคนิคเพื่อรองรับการย้ายมาของโรงเรียนเปี่ยมเมธีวิทยาคาร ที่ดินโฉนดเลขที่ 8 และโฉนดเลขที่ 38743 ที่แบ่งแยกมาจากโฉนดเลขที่ 8 หลังจากแบ่งแยกแล้วก็ยังคงมีชื่อจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ยังไม่โอนแก่ผู้ใดไม่ทำให้เสียหายนั้น เห็นว่า เมื่อจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลพิพากษาตามยอมแล้ว จำเลยก็ต้องปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอม จะอ้างเหตุดังที่จำเลยนำสืบมาบ่ายเบี่ยงหรือหน่วงเหนี่ยวมิให้เป็นไปตามคำพิพากษาตามยอมโดยที่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งที่ทำยอมมิได้ตกลงด้วยหาได้ไม่ พยานหลักฐานของจำเลยไม่มีเหตุผลและน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ ที่ศาลชั้นต้นเห็นว่า พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักรับฟังได้ว่า จำเลยเพื่อจะมิให้การเป็นไปตามคำพิพากษาตามยอมของศาลทำให้เสียหายซึ่งที่ดินโฉนดเลขที่ 8 ที่จำเลยรู้ว่าน่าจะถูกยึดหรืออายัดมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 187 นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ส่วนที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายกฟ้องนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดและให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น