แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ซื้อที่ดินไว้เพียงหนึ่งแปลงพร้อมตึกแถวเมื่อ พ.ศ.2510 แล้วใช้เป็นที่เก็บสินค้าของโจทก์ตลอดมาแสดงว่าโจทก์ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายในการซื้อที่ดินและตึกแถวนี้ไว้เพื่อขายหากำไรเป็นสำคัญมาแต่เดิม ที่โจทก์ต้องขายที่ดินและตึกแถวดังกล่าวไปใน พ.ศ.2519 ก็เพราะโจทก์มีหนี้สินอยู่มาก จำเป็นต้องขายเพื่อเอาเงินมาชำระหนี้และแม้โจทก์จะขายได้ราคาสูงกว่าราคาที่ซื้อมาเป็นจำนวนมากก็เป็นไปตามปกติของราคาที่ดินที่สูงขึ้นตามกาลเวลาหาใช่มีลักษณะเป็นทางค้าหรือหากำไรไม่ จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์เป็นผู้ประกอบการค้าที่ดินและตึกแถวดังกล่าว โจทก์ไม่ต้องเสียภาษีการค้าตามบัญชีอัตราภาษีการค้า อันดับ 11
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ซื้อที่ดินหนึ่งแปลงพร้อมด้วยตึกแถวมาตั้งแต่พ.ศ. ๒๕๑๐ ต่อมาได้ขายไปเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๙ เพื่อนำเงินมาใช้หนี้ โจทก์มิได้มุ่งหวังในทางการค้าหรือหากำไรแต่เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยได้ประเมินให้โจทก์เสียภาษีการค้าพร้อมทั้งเงินเพิ่มและเบี้ยปรับ โจทก์อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์แล้ว คณะกรรมการให้ยกอุทธรณ์ จึงขอให้เพิกถอนการประเมินและให้ยกคำวินิจฉัยอุทธรณ์ดังกล่าว
จำเลยทั้งสี่ให้การว่า โจทก์ซื้อที่ดินไว้โดยเจตนาเพื่อการค้าและหากำไร โจทก์มิได้เป็นที่อยู่อาศัย แต่นำไปประกอบกิจการค้าโดยใช้เป็นสถานที่เก็บสินค้า และต่อมาขายไปได้กำไรเป็นจำนวนมากจึงเป็นการค้าเพื่อหากำไร โจทก์ต้องเสียภาษีการค้าตามบัญชีอัตราภาษีการค้าข้อ ๑๑ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับเป็นว่า โจทก์ไม่ต้องเสียภาษีการค้าตามแบบแจ้งการประเมินของจำเลย ให้ยกคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์
จำเลยทั้งสี่ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๗๗ นิยามคำว่า “การค้า” ให้หมายความว่า การประกอบธุรกิจการพาณิชย์ การอุตสาหกรรม การเกษตร การผลิต การนำเข้าการส่งออก หรือการให้บริการใด ๆ เพื่อหาประโยชน์อันมีมูลค่าและตามบัญชีอัตราภาษีการค้าประเภทการค้า ๑๑ การขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าหรือหากำไร ผู้ประกอบการค้ามีหน้าที่ต้องเสียภาษีการค้า ดังนั้นปัญหาที่จะวินิจฉัยจึงอยู่ที่ว่าโจทก์ขายที่ดินและตึกแถวเป็นทางการค้าหรือหากำไรหรือไม่ศาลฎีกาเห็นว่า ตามพฤติการณ์ของโจทก์ที่ซื้อที่ดินไว้เพียง ๑ แปลงพร้อมตึกแถว ๑๑ ห้องบนที่ดินดังกล่าวแล้วเข้าครอบครองทำประโยชน์โดยใช้ตึกแถวนั้นเป็นที่เก็บสินค้าของห้างหุ้นส่วนจำกัดโรงค้าไม้หน่ำหลีของโจทก์ตลอดมาย่อมแสดงว่าโจทก์ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายในการซื้อที่ดินและตึกแถวนี้ไว้เพื่อขายหากำไรเป็นสำคัญมาแต่เดิม ที่โจทก์ต้องขายที่ดินและตึกแถวดังกล่าวไปในเวลาต่อมาก็เพราะมีเหตุจำเป็นจริง ๆ โดยโจทก์นำสืบฟังได้ว่า โจทก์มีหนี้สินมากมายโดยจำนองที่ดินนี้ไว้กับธนาคาร และมีหนี้สินเบิกเงินเกินบัญชี หนี้จากการค้ำประกันเงินกู้จากธนาคารและบริษัทเงินทุนต่าง ๆ ปรากฏตามหลักฐานที่โจทก์อ้างส่งศาล โจทก์จึงจำเป็นต้องขายที่ดินและตึกแถวนี้ไปเพื่อเอาเงินมาชำระหนี้สินดังกล่าว หากโจทก์ไม่มีหนี้สินมากมายก็คงจะไม่ขายที่ดินและตึกแถวดังกล่าวเป็นแน่การที่โจทก์ขายที่ดินและตึกแถวดังกล่าวไปในราคา ๖,๖๕๐,๐๐๐ บาท ในปี พ.ศ. ๒๕๑๙ สูงกว่าราคาที่ซื้อมาในปี พ.ศ. ๒๕๑๐ เป็นเงิน ๔,๑๕๐,๐๐๐ บาท นั้นก็เป็นไปตามปกติของราคาที่ดินที่สูงขึ้นตามกาลเวลา หาใช่มีลักษณะเป็นทางค้าหรือหากำไรไม่ จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์เป็นผู้ประกอบการค้าที่ดินและตึกแถวรายนี้ ศาลฎีกาจึงเห็นว่าโจทก์ขายที่ดินและตึกแถวรายนี้ไม่เป็นทางค้าหรือหากำไร โจทก์จึงไม่ต้องเสียภาษีการค้าตามบัญชีอัตราภาษีการค้าอันดับ ๑๑ ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาจำเลยทั้งสี่ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน