คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3617/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในวันที่โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยปรากฏตามหนังสือรับรองของนายทะเบียนเอกสารท้ายฟ้องว่า จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ที่เลขที่ 66 ถนนเทียมร่วมมิตร เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานครในชั้นบังคับคดีก็ปรากฏตามหนังสือรับรองของนายทะเบียนในสำนวนของกรมบังคับคดีก็ระบุว่าจำเลยมีภูมิลำเนาดังกล่าวแม้ว่าต่อมาจำเลยได้จดทะเบียนเปลี่ยนแปลงภูมิลำเนาเป็นเลขที่ 869 ซอยรัชดานิเวศน์ ถนนประชาอุทิศแขวงสามเสนนอก เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร ก็ตามแต่เมื่อปรากฏว่าในขณะที่โจทก์ฟ้องจำเลยและในการดำเนินกระบวนพิจารณาตลอดมา จำเลยยังคงมีภูมิลำเนาอยู่ที่เลขที่ 66 ถนนเทียมร่วมมิตร จึงต้องถือว่าจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ ณ สถานที่นั้น ดังนั้นเมื่อมีการส่งหมายเรียกหมายนัด และเอกสารต่าง ๆ ที่ภูมิลำเนาดังกล่าวไม่ว่าโดยวิธีใดก็ตาม ย่อมถือว่าเป็นการส่งโดยชอบและจำเลยได้รับโดยชอบแล้ว จำเลยจะยกเรื่องการย้ายภูมิลำเนาไปที่ใหม่ของจำเลยโดยที่จำเลยไม่ได้แจ้งการย้ายภูมิลำเนาไปที่ใหม่ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีและศาลทราบมาเป็นข้ออ้างว่าไม่ได้รับหมายแจ้งวันขายทอดตลาดที่ดินจากเจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน26,707,917.96 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปีในต้นเงิน 13,190,022.42 บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ17.5 ต่อปี ในต้นเงิน 10,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระให้ยึดที่ดินจำนองโฉนดเลขที่ 1214 พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้โจทก์ จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินของจำเลยที่โจทก์รับจำนองไว้ในระหว่างประกาศขายทอดตลาดจำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2537 แต่เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดที่ดินแก่ผู้ซื้อเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2537 ในราคา51,200,000 บาท
จำเลยยื่นคำร้องว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีได้แจ้งวันขายทอดตลาดแก่จำเลยไปยังภูมิลำเนาเดิมตามฟ้อง แต่จำเลยย้ายภูมิลำเนาไปแล้วจึงไม่ทราบวันขายทอดตลาด และการที่เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดไปในราคา 51,200,000 บาทนั้น ต่ำกว่าราคาที่ดินใกล้เคียง ทำให้จำเลยได้รับความเสียหายขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาด
โจทก์และผู้ซื้อทรัพย์ยื่นคำคัดค้านทำนองเดียวกันว่า จำเลยทราบว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดทรัพย์ของจำเลยโดยชอบแล้วเมื่อจำเลยเปลี่ยนภูมิลำเนาก็ชอบที่จะแจ้งต่อศาลและเจ้าพนักงานบังคับคดีทราบ การที่จำเลยไม่แจ้ง และเจ้าพนักงานบังคับคดีส่งประกาศขายทอดตลาดแก่จำเลยไปที่ภูมิลำเนาเดิมถือได้ว่าได้ส่งประกาศขายทอดตลาดให้จำเลยทราบโดยชอบแล้วขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในวันที่ 25 มิถุนายน 2535ที่โจทก์ฟ้องจำเลยนี้ระบุว่าจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ที่เลขที่ 66ถนนเทียมร่วมมิตร เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร ตามหนังสือรับรองนายทะเบียนลงวันที่ 13 ธันวาคม 2534 เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3 และตามหนังสือรับรองนายทะเบียนลงวันที่ 24 มีนาคม2537 เอกสารท้ายคำแถลงของโจทก์ลงวันที่ 29 มีนาคม 2537ในสำนวนของกรมบังคับคดีก็ระบุว่าจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ที่เลขที่ 66 ถนนเทียมร่วมมิตร เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานครเช่นเดิม จนต่อมาวันที่ 17 พฤษภาคม 2537 จำเลยจึงได้จดทะเบียนเปลี่ยนแปลงภูมิลำเนาเป็นเลขที่ 869 ซอยรัชดานิเวศน์ถนนประชาอุทิศ แขวงสามเสนนอก เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานครตามหนังสือรับรองนายทะเบียนเอกสารหมาย ล.4 ถึง ล.6ดังนั้น ในขณะที่โจทก์ฟ้องจำเลยและในการดำเนินกระบวนพิจารณาตลอดมา จึงถือว่าจำเลยมีภูมิลำเนาที่เลขที่ 66 ถนนเทียมร่วมมิตรฉะนั้น เมื่อมีการส่งหมายเรียก หมายนัด และเอกสารต่าง ๆ ที่ภูมิลำเนาเลขที่ 66 ถนนเทียมร่วมมิตร ไม่ว่าโดยวิธีใดก็ตามย่อมถือว่าเป็นการส่งโดยชอบและจำเลยได้รับโดยชอบแล้วจำเลยจะยกเรื่องการย้ายภูมิลำเนาไปที่ใหม่ของจำเลยโดยที่จำเลยไม่ได้แจ้งการย้ายภูมิลำเนาไปที่ใหม่ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีและศาลทราบมาเป็นข้ออ้างว่าไม่ได้รับหมายแจ้งวันขายทอดตลาดที่ดินจากเจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ได้
พิพากษายืน

Share