คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3615/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การมอบฉันทะและการขอเลื่อนคดีในคดีอาญา ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามิได้บัญญัติไว้ จึงต้องนำประมวลวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับแทนตามนัยแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15
ทนายความอาจมอบฉันทะให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งมาทำการแทนได้ในกิจการที่ระบุไว้ในประมวลกฎหมายวิธี พิจารณาความแพ่ง มาตรา 64 เท่านั้นสำหรับกิจการอื่นต้องพิเคราะห์เป็นเรื่อง ๆ ไปว่าเป็นกิจการที่สำคัญซึ่งโดยสภาพเป็นที่เห็นได้ว่าทนายความจะต้องกระทำด้วยตนเองหรือไม่
คำขอเลื่อนคดีด้วยวาจา จะต้องกระทำโดยตัวความหรือทนายความเท่านั้น หากตัวความหรือทนายความไม่อาจมาศาลได้ จะต้องทำคำขอเลื่อนคดีเป็นลายลักษณ์อักษร และมอบฉันทะให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งมายื่นต่อศาลผู้รับมอบฉันทะจากทนายโจทก์ไม่มีอำนาจแถลงด้วยวาจาขอ เลื่อนคดีต่อศาล การที่ผู้รับมอบฉันทะจากทนายโจทก์ขอเลื่อนคดีต่อศาลด้วยวาจา ถือไม่ได้ว่าเป็นการแจ้งเหตุขัดข้องให้ศาลทราบ เมื่อโจทก์และทนายโจทก์ไม่ได้ขอเลื่อนคดีตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ทั้งไม่มาศาลโดยมิได้แจ้งเหตุขัดข้องให้ศาลทราบ การที่ศาลมีคำสั่งตัดพยานโจทก์ที่เหลือ จึงชอบด้วยกระบวนพิจารณาแล้ว.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๑, ๑๘๘, ๘๓, ๙๐, ๙๑
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่า คดีมีมูลเฉพาะจำเลยที่ ๔ และความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๘๘ เกินอำนาจของศาลชั้นต้น จึงให้ประทับฟ้องเฉพาะจำเลยที่ ๔ ให้ยกฟ้องจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๕
จำเลยที่ ๔ ให้การปฏิเสธ
วันสืบพยานโจทก์นัดแรก โจทก์นำพยานเข้าสืบได้ ๑ ปากแล้วโจทก์แถลงขอเลื่อนไปสืบพยานโจทก์ที่เหลือในนัดต่อไปศาลชั้นต้นอนุญาตให้เลื่อนไปสืบพยานโจทก์ต่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน เวลา ๑๐.๐๐ นาฬิกาถึงวันนัดโจทก์และทนายโจทก์ไม่มาศาล คงมีแต่เสมียนผู้รับมอบฉันทะจากทนายโจทก์มาศาล จำเลยที่ ๔ ยื่นคำร้องว่าโจทก์ไม่มาศาล และมิได้ยื่นคำร้องขอเลื่อนคดี ขอให้ศาลสั่งตัดพยานโจทก์และนัดสืบพยานจำเลยที่ ๔ ศาลชั้นต้นนั่งพิจารณาเวลา ๑๑.๕๕ นาฬิกา เสมียนทนายโจทก์แถลงว่าทนายโจทก์ติดธุระไม่มาศาลและขอเลื่อนคดี ศาลชั้นต้นถือว่าโจทก์ไม่ติดใจสืบพยานที่เหลือจึงสั่งตัดพยานโจทก์
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ว่าศาลชั้นต้นสั่งตัดพยานโจทก์ไม่ชอบขอให้ยกคำสั่งศาลชั้นต้น
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า การที่ทนายโจทก์มอบฉันทะให้เสมียนทนายทำการแทนในกรณีดังต่อไปนี้ คือ ทราบคำสั่งศาล ทราบวันนัด และแถลงต่อศาลด้วยวาจานั้นผู้รับมอบฉันทะจากทนายโจทก์ดังกล่าวจะมีอำนาจแถลงต่อศาลด้วยวาจาขอเลื่อนคดีด้วยหรือไม่ พิเคราะห์แล้ว ในเรื่องการมอบฉันทะและการขอเลื่อนคดีนั้น ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามิได้บัญญัติไว้จึงต้องนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับแทนตามนัยแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕ เห็นว่าเรื่องทนายความมอบฉันทะให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งกระทำการแทนนั้น ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๖๔ บัญญัติว่า ‘เว้นแต่ศาลจะได้สั่งเป็นอย่างอื่นฯลฯ คู่ความหรือทนายความอาจแต่งตั้งให้บุคคลใดทำการแทนได้ โดยยื่นใบมอบฉันทะต่อศาลทุกครั้ง เพื่อกระทำกิจการอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้คือกำหนดวันนัดพิจารณาหรือวันสืบพยานหรือวันฟังคำสั่งคำบังคับหรือคำชี้ขาดใด ๆ ของศาล มาฟังคำสั่งคำบังคับหรือคำชี้ขาดใดๆ ของศาลหรือสลักหลังรับรู้ซึ่งข้อความนั้นๆ รับสำเนาคำให้การ คำร้องหรือเอกสารอื่นๆ ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๗๑ และ ๗๒ และแสดงการรับรู้สิ่งเหล่านั้น’ จะเห็นได้ว่ากฎหมายกำหนดไว้ชัดเจนว่าทนายความอาจมอบฉันทะให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งมาทำการแทนในกิจการ ๓ เรื่องดังกล่าวเท่านั้น สำหรับกิจการนอกจากนี้ต้องพิเคราะห์เป็นเรื่องๆ ไป ว่าเป็นกิจการที่สำคัญ ซึ่งโดยสภาพเป็นที่เห็นได้ว่าทนายความจะต้องกระทำด้วยตนเองหรือไม่ พิเคราะห์แล้วการขอเลื่อนคดีนั้นประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๔๐ วรรคแรกบัญญัติว่า ‘ฯลฯ’วรรคสาม บัญญัติว่า ‘ฯลฯ’ ศาลฎีกาเห็นว่าโดยสภาพแล้ว คำขอเลื่อนคดีด้วยวาจานั้นจะต้องกระทำโดยตัวความหรือทนายความเท่านั้น หากตัวความหรือทนายความไม่อาจมาศาลได้ก็จะต้องทำคำขอเลื่อนคดีเป็นลายลักษณ์อักษรและมอบฉันทะให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งมายื่นต่อศาล ผู้รับมอบฉันทะจากทนายโจทก์จึงไม่มีอำนาจที่จะแถลงด้วยวาจาขอเลื่อนคดีต่อศาล และถือไม่ได้ว่าการที่ผู้รับมอบฉันทะจากทนายโจทก์ขอเลื่อนคดีต่อศาลด้วยวาจานั้น เป็นการแจ้งเหตุขัดข้องที่โจทก์และทนายโจทก์ไม่มาศาลให้ศาลทราบด้วย เมื่อโจทก์และทนายโจทก์ไม่ได้ขอเลื่อนคดีตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว ทั้งโจทก์และทนายโจทก์ไม่มาศาลและมิได้แจ้งเหตุขัดข้องที่ไม่มาศาลให้ศาลทราบ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตัดพยานโจทก์ที่เหลือ จึงชอบด้วยกระบวนพิจารณาแล้วฯลฯ
พิพากษายืน.

Share