คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 361/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่2มิได้ให้การต่อสู้ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมการที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่2เคลือบคลุมด้วยจึงไม่ชอบถือว่าเป็นข้อที่มิได้ว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249วรรคแรกแต่เมื่อโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่2รับผิดในฐานะเป็นผู้รับประกันภัยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา887ซึ่งผู้รับประกันภัยจะต้องรับผิดต่อเมื่อเป็นวินาศภัยซึ่งผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดชอบเมื่อโจทก์ไม่บรรยายฟ้องให้ปรากฏว่าใครเป็นผู้เอาประกันภัยรถยนต์คันที่จำเลยที่2เป็นผู้รับประกันภัยและนาย ค.ผู้ขับรถยนต์คันนี้มีนิติสัมพันธ์อย่างไรกับผู้เอาประกันภัยซึ่งผู้เอาประกันภัยจะต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดของนาย ค. ด้วยคำฟ้องของโจทก์จึงขาดสาระสำคัญอันเป็นประเด็นแห่งคดีที่พึงกระทำให้จำเลยที่2ต้องรับผิดและศาลจะพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีจำเลยที่2โดยไม่อาศัยคำฟ้องไม่ได้จำเลยที่2จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามมาตรา887และปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกาหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา142(5)ประกอบมาตรา246และ247 โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่1รับผิดในฐานะผู้รับประกันภัยค้ำจุนแต่มิได้บรรยายฟ้องว่านาย ว. ผู้ขับรถยนต์คันที่จำเลยที่1รับประกันภัยนั้นขับรถยนต์คันดังกล่าวในฐานะใดหรือมีนิติสัมพันธ์อย่างไรกับผู้เอาประกันภัยรถยนต์คันนั้นอันจะเป็นเหตุให้ผู้เอาประกันภัยจะต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดของนาย ว.เมื่อโจทก์มิได้บรรยายถึงเหตุที่จะทำให้ผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดแล้วจำเลยที่1ในฐานะผู้รับประกันภัยค้ำจุนซึ่งจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนก็ต่อเมื่อเป็นวินาศภัยซึ่งผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดชอบจึงไม่ต้องรับผิดด้วยคำฟ้องของโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่1จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุม

ย่อยาว

โจทก์ ฟ้อง ว่า นาย วิเชียร ผู้ขับ รถยนต์ คัน ที่ จำเลย ที่ 1 เป็น ผู้รับประกันภัย และ นาย คำหาญ ซึ่ง ขับ รถยนต์ คัน ที่ จำเลย ที่ 2เป็น ผู้รับประกันภัย ได้ ขับ รถ ด้วย ความประมาท เป็นเหตุ ให้ ชน รถยนต์คัน ที่ โจทก์ รับประกัน ภัย ได้รับ ความเสียหาย โจทก์ ได้ จ่ายเงิน ค่าซ่อมรถ ค่า ยก ลาก รถ คัน ที่ โจทก์ รับประกัน ภัย ไป แล้ว จึง รับช่วงสิทธิเรียกร้อง ให้ จำเลย ทั้ง สอง ชดใช้ ขอให้ บังคับ จำเลย ทั้ง สอง ร่วมกันชดใช้ เงิน พร้อม ดอกเบี้ย
จำเลย ที่ 1 ให้การ ว่า เหตุ รถ ชนกัน มิได้ เกิดขึ้น เนื่องจากความประมาท ของ นาย วิเชียร ผู้ขับ รถยนต์ คัน ที่ จำเลย ที่ 1 รับ ประกันภัย ไว้ จำเลย ที่ 1 จะ ต้อง รับผิด ต่อเมื่อ ผู้เอาประกันภัยจะ ต้อง รับผิด เท่านั้น ฟ้องโจทก์ เป็น ฟ้องเคลือบคลุม ขอให้ ยกฟ้อง
จำเลย ที่ 2 ให้การ ว่า นาย คำหาญ มิได้ เป็น ลูกจ้าง หรือ ตัวแทน ของ นาง พีระพรรณ เจ้าของ รถยนต์ คัน ที่ จำเลย ที่ 2 รับประกัน ภัย นาย คำหาญ นำ รถ คัน ดังกล่าว ไป ใช้ ใน กิจการ ส่วนตัว นาง พีระพรรณ จึง ไม่ต้อง รับผิด เป็น ผล ให้ จำเลย ที่ 2 ผู้รับประกันภัย ไม่ต้อง รับผิด ขอให้ ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิพากษายก ฟ้อง
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกา วินิจฉัย ว่า สำหรับ ปัญหา ว่า คำฟ้อง โจทก์ เกี่ยวกับจำเลย ที่ 2 เคลือบคลุม หรือไม่ เห็นว่า คดี นี้ เฉพาะ จำเลย ที่ 1เท่านั้น ที่ ให้การ ต่อสู้ ว่า ฟ้องโจทก์ เคลือบคลุม จำเลย ที่ 2 หา ได้หยิบยก ประเด็น เรื่อง ฟ้องโจทก์ เคลือบคลุม ขึ้น ให้การ ต่อสู้โจทก์ ไม่ ดังนั้น การ ที่ ศาลล่าง ทั้ง สอง วินิจฉัย ว่า ฟ้องโจทก์เกี่ยวกับ จำเลย ที่ 2 เคลือบคลุม ด้วย จึง เป็น การ ไม่ชอบ ถือว่าเป็น ข้อ ที่ มิได้ ว่า กัน มา แล้ว โดยชอบ ใน ศาลล่าง ต้องห้าม มิให้ฎีกา ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรกศาลฎีกา ไม่รับ วินิจฉัย อย่างไร ก็ ตาม คดี นี้ โจทก์ กล่าว ใน ฟ้อง ว่า จำเลยที่ 2 เป็น ผู้รับประกันภัย ค้ำจุน รถยนต์ คัน หมายเลข ทะเบียน80-6118 อุบลราชธานี ขอให้ ร่วมรับผิด ใน ผล แห่ง ละเมิด ที่นาย คำหาญ ขับ รถ คัน ที่ จำเลย ที่ 2 รับประกัน ภัย โดยประมาท ชน รถยนต์ ที่ โจทก์ รับประกัน ภัย ไว้ เสียหาย เช่นนี้ ข้ออ้าง ที่อาศัยเป็น หลักแห่งข้อหา ก็ คือ โจทก์ ฟ้อง ขอให้ จำเลย ที่ 2 รับผิดใน ฐานะ เป็น ผู้รับประกันภัย ค้ำจุน ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 887 นั่นเอง แต่ ตาม มาตรา 887 นั้น ผู้รับประกันภัย จะ ต้องรับผิด ต่อเมื่อ เป็น วินาศภัย ซึ่ง ผู้เอาประกันภัย จะ ต้อง รับผิดชอบตาม คำฟ้อง ของ โจทก์ คดี นี้ โจทก์ หา ได้ บรรยายฟ้อง ให้ ปรากฏ ไม่ว่าใคร เป็น ผู้เอาประกันภัย รถยนต์ คัน ที่ จำเลย ที่ 2 เป็น ผู้รับประกันภัยและ มิได้ บรรยายฟ้อง ให้ ปรากฏ ด้วย ว่า นาย คำหาญ ผู้ขับ รถยนต์ คัน นี้ มี นิติสัมพันธ์ อย่างไร กับ ผู้เอาประกันภัย ซึ่ง ผู้เอาประกันภัย จะ ต้องร่วมรับผิด ใน ผล แห่ง ละเมิด ของ นาย คำหาญ ด้วย คำฟ้อง ของ โจทก์ จึง ขาด สาระสำคัญ อันเป็น ประเด็น แห่ง คดี ที่ พึง กระทำ ให้ จำเลย ที่ 2ต้อง รับผิด และ ศาล จะ พิพากษา ให้ โจทก์ ชนะคดี จำเลย ที่ 2 โดยไม่ อาศัย คำฟ้อง ไม่ได้ จำเลย ที่ 2 จึง ไม่ต้อง รับผิด ต่อ โจทก์ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 887 และ ปัญหา ข้อ นี้เป็น ปัญหา อัน เกี่ยว ด้วย ความสงบ เรียบร้อย ของ ประชาชน ศาลฎีกาเห็นสมควร หยิบยก ขึ้น วินิจฉัย เอง ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5) ประกอบมาตรา 246 และ 247
ส่วน ปัญหา ว่า ฟ้องโจทก์ เกี่ยวกับ จำเลย ที่ 1 เคลือบคลุมหรือไม่ นั้น เห็นว่า โจทก์ ฟ้อง ให้ จำเลย ที่ 1 รับผิด ใน ฐานะผู้รับประกันภัย ค้ำจุน รถยนต์ คัน เกิดเหตุ อีก คัน หนึ่ง แต่ โจทก์ มิได้บรรยายฟ้อง ว่า นาย วิเชียร ผู้ขับ รถยนต์ คัน ดังกล่าว ขับ รถยนต์ คัน นั้น ใน ฐานะ ใด หรือ มี นิติสัมพันธ์ อย่างไร กับ ผู้เอาประกันภัยรถยนต์ คัน นั้น อัน จะ เป็นเหตุ ให้ ผู้เอาประกันภัย จะ ต้อง ร่วมรับผิดใน ผล แห่ง การ ทำละเมิด ของ นาย วิเชียร เมื่อ ฟ้องโจทก์ มิได้ บรรยาย ถึง เหตุ ที่ จะ ทำให้ ผู้เอาประกันภัย ต้อง รับผิด แล้ว จำเลย ที่ 1 ใน ฐานะผู้รับประกันภัย ค้ำจุน ซึ่ง จะ ต้อง ใช้ ค่าสินไหมทดแทน ก็ ต่อเมื่อ เป็นวินาศภัย ซึ่ง ผู้เอาประกันภัย จะ ต้อง รับผิดชอบ จึง ไม่ต้อง รับผิดด้วย คำฟ้อง ของ โจทก์ เกี่ยวกับ จำเลย ที่ 1 เช่นนี้ ย่อม ทำให้ จำเลยที่ 1 ผู้รับประกันภัย ค้ำจุน ไม่อาจ ต่อสู้ คดี โจทก์ ได้ จึง เป็นฟ้องเคลือบคลุม
พิพากษายืน

Share