คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 768/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ทำสัญญาจดทะเบียนเช่าตึกแถวพิพาทมาจากเจ้าของ แล้วตกลงโอนสิทธิการเช่าตึกพิพาทให้จำเลย โดยจำเลยให้ค่าตอบแทนเป็นเงินผ่อนชำระ เป็น 3 งวด ดังนี้ การที่จำเลยยอมเข้าทำสัญญารับโอนสิทธิการเช่าตึกพิพาทกับโจทก์ เป็นการยอมรับนับถือสิทธิของโจทก์เหนือตึกพิพาทจำเลยจึงไม่อาจโต้แย้งว่าโจทก์ไม่มีสิทธิเหนือตึกพิพาทที่จะฟ้องจำเลยได้ ถึงแม้โจทก์จะได้รับการบอกเลิกการเช่าจากเจ้าของตึกพิพาทในภายหลัง ก็เป็นเรื่องระหว่างโจทก์กับเจ้าของตึก หาเป็นเหตุให้ข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยซึ่งมีมาแต่เดิมระงับไปไม่ จำเลยยังคงผูกพันอยู่กับโจทก์ตามสัญญาดังกล่าวทั้งการที่จำเลยเข้าใช้สิทธิในตึกพิพาท ก็โดยอาศัยความยินยอมของโจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยและสัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาต่างตอบแทน เมื่อจำเลยมิได้ชำระเงินให้โจทก์ตามเงื่อนเวลาที่กำหนดไว้ โจทก์ทวงถามแล้วจำเลยก็ไม่ปฏิบัติตามจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์บอกเลิกสัญญาได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ถือสิทธิการเช่าตึกแถวเลขที่ 503/4, 503/5 โดยทำหนังสือสัญญาเช่าจดทะเบียน ณ ที่ว่าการอำเภอพญาไท มีกำหนด 10 ปีตามสัญญาเช่าให้โจทก์มีสิทธิให้เช่าช่วงได้ ต่อมาโจทก์ตกลงให้จำเลยรับช่วงสิทธิการเช่าตึกแถวดังกล่าวจากโจทก์ โดยจำเลยคิดค่าตอบแทนให้ 120,000บาท จะชำระให้เป็นงวด ๆ เมื่อชำระครบถ้วนแล้วจึงจะโอนสิทธิการเช่าให้ ในวันทำสัญญาโจทก์อนุญาตให้จำเลยเข้าไปในตึกแถวพิพาทเพื่อทำความสะอาดจัดความเรียบร้อยและตกแต่งตามความมุ่งหมายของจำเลย แต่เมื่อถึงกำหนดชำระค่าตอบแทนซึ่งจำเลยจ่ายให้เป็นเช็ค โจทก์เรียกเก็บเงินไม่ได้ ทวงถามให้จำเลยชำระหลายครั้ง จำเลยเพิกเฉย โจทก์จึงบอกเลิกการโอนสิทธิการเช่าและให้จำเลยส่งตึกแถวคืน จำเลยได้รับหนังสือบอกกล่าวแล้วคงเพิกเฉยการที่จำเลยอยู่ในตึกแถวพิพาทจึงเป็นการละเมิด ขอให้ศาลบังคับให้จำเลยและบริวารขนย้ายออกไปจากตึกพิพาท และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยให้โจทก์

จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ทำสัญญาเช่าตึกพิพาทจากเจ้าของตึก และจำเลยตกลงรับโอนสิทธิการเช่าโดยเสียค่าตอบแทนจริง แต่โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะก่อนฟ้องเจ้าของตึกพิพาทได้บอกเลิกการเช่ากับโจทก์แล้วและโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลย เพราะโจทก์ได้โอนสิทธิการเช่าให้จำเลยและรับเงินค่าตอบแทนไปบางส่วนแล้ว จำเลยมิได้ผิดสัญญา จำเลยได้แจ้งให้โจทก์ไปรับชำระเงินค่าตอบแทนพร้อมกับโอนสิทธิการเช่าตึกพิพาทให้จำเลยโจทก์ทราบแล้วเพิกเฉย โจทก์จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา ทำให้จำเลยได้รับความเสียหายและต้องขาดประโยชน์จากการนี้ จึงขอให้ศาลบังคับโจทก์ใช้เงินค่าเสียหายและค่าขาดประโยชน์พร้อมดอกเบี้ย

โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยเข้าไปในตึกแถวพิพาทโดยอาศัยสิทธิของโจทก์ เมื่อจำเลยผิดสัญญา โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาและฟ้องขับไล่จำเลยได้ ฟ้องแย้งของจำเลยไม่มีมูลที่จะเรียกได้

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยและบริวารออกจากตึกแถวพิพาทและให้จำเลยใช้ค่าเสียหายพร้อมกับดอกเบี้ยให้โจทก์

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

มีปัญหาว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ และจำเลยผิดสัญญาหรือไม่ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่จำเลยยอมเข้าทำสัญญารับโอนสิทธิการเช่าตึกพิพาทตามเอกสารหมาย จ.2 กับโจทก์นั้น เป็นการยอมรับนับถือสิทธิของโจทก์เหนือตึกพิพาท จึงไม่อาจโต้แย้งว่าโจทก์ไม่มีสิทธิเหนือตึกพิพาทที่จะฟ้องจำเลยได้ส่วนที่แม้โจทก์จะได้รับการบอกเลิกการเช่าจากเจ้าของตึกพิพาทในภายหลังก็เป็นเรื่องระหว่างโจทก์กับเจ้าของตึกพิพาท หาเป็นเหตุให้ข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยซึ่งมีมาแต่เดิมระงับไปไม่ จำเลยยังคงผูกพันอยู่กับโจทก์ตามสัญญาดังกล่าว ทั้งการที่จำเลยรับมอบกุญแจห้องมาจากโจทก์และเข้าใช้สิทธิในตึกพิพาท ก็โดยอาศัยความยินยอมของโจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยและตามสัญญาเอกสารหมาย จ.2 เป็นสัญญาต่างตอบแทน จำเลยมีหน้าที่ต้องชำระเงินให้โจทก์ตามเงื่อนเวลาที่กำหนด แต่จำเลยมิได้ชำระเงินให้โจทก์ตามกำหนดเวลาดังกล่าว จำเลยก็เบิกความรับอยู่ว่า การชำระเงินตามสัญญางวดที่ 2 นั้น โจทก์นำเช็คไปเบิกเงินจากธนาคารไม่ได้ และเมื่อโจทก์มาทวงถามจากจำเลย จำเลยก็ไม่ชำระให้ อ้างว่าสมาคมพ่อค้าตลาดเฉลิมโลกยังไม่ให้เงินมาดังนี้ ถือได้ว่าจำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญา จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์บอกเลิกสัญญาได้

พิพากษายืน

Share