แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อเจ้าพนักงานแจ้งรายการประเมินภาษีตามพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475 มาตรา 24 ไปยังผู้ใด บุคคลผู้นั้นก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้รับประเมินโดยเป็นบุคคลผู้ถึงชำระค่าภาษีตามที่ประเมินมานั้น ถ้าไม่พอใจการประเมินจะโดยอ้างว่าเพราะเจ้าพนักงานประเมินผิดให้เสียภาษีในกรณีไม่ต้องเสียหรือประเมินให้เสียมากกว่าที่ควรต้องเสีย บุคคลนั้นต้องฟ้องคดีต่อศาลว่าการประเมินไม่ถูก จึงต้องอยู่ภายใต้บังคับมาตรา 39 ซึ่งบัญญัติให้ชำระค่าภาษีทั้งสิ้นก่อนศาลประทับฟ้อง หากมิได้ชำระค่าภาษีเสียก่อนศาลย่อมจะรับฟังไว้พิจารณามิได้
(วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 12-13/2512)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลจดทะเบียนเป็นสมาคม โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดที่ ๒๖๐๐ ตำบลทุ่งมหาเมฆ และบ้านเลขที่ ๑๓ ซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินใช้เป็นที่ประชุมที่เล่นกีฬาและพักผ่อนของสมาชิก มีกรรมการและตัวแทนดำเนินการและอยู่เฝ้ารักษา จำเลยได้แจ้งประเมินภาษีโรงเรือนสำหรับบ้านเป็นเงิน ๗,๕๐๐ บาท ซึ่งไม่ถูกต้อง โจทก์ได้อุทธรณ์คัดค้านต่อหน้าคณะเทศมนตรี คณะเทศมนตรีสั่งยกอุทธรณ์ จึงฟ้องขอให้แสดงว่า เจ้าหน้าที่ประเมินเก็บภาษีโรงเรือนจากโจทก์ไม่ถูกต้อง จำเลยไม่มีอำนาจเรียกเก็บภาษีจากโจทก์ และยกเลิกการประเมินภาษี
จำเลยต่อสู้ว่า การประเมินถูกต้องแล้ว และตัดฟ้องว่า จนกระทั่งบัดนี้โจทก์ยังไม่ชำระหนี้ค่าภาษี ฟ้องโจทก์ไม่เป็นฟ้องตามกฎหมาย
ทางพิจารณาคู่ความรับข้อเท็จจริงกันบางประการ แล้วไม่ติดใจสืบพยาน
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยไม่มีอำนาจเรียกเก็บภาษีโรงเรือน และให้ยกเลิกการประเมินภาษีโรงเรือนของโจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า เจ้าหน้าที่ของจำเลยแจ้งการประเมินแก่โจทก์ตั้งแต่วันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๐๙ จนบัดนี้โจทก์ยังไม่ชำระหนี้ค่าภาษีให้จำเลย ฟ้องโจทก์จึงไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. ๒๔๗๕ มาตรา ๓๙ ศาลยังไม่มีอำนาจรับฟ้องได้ พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
พระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. ๒๔๗๕ มาตรา ๓๙ บัญญัติว่า “ถ้ามีผู้ยื่นฟ้องต่อศาลตามความในมาตรา ๓๑ ท่าห้ามมิให้ศาลประทับเป็นฟ้องตามกฎหมาย เว้นแต่จะเป็นที่พอใจ ศาลว่า ผู้รับประเมินได้ชำระค่าภาษีทั้งสิ้นซึ่งถึงกำหนดต้องชำระ เพราะเวลาซึ่งท่านให้ไว้ตามมาตรา ๓๘ นั้น ได้สิ้นไปแล้ว หรือถึงกำหนดชำระระวางที่คดียังอยู่ในศาล”
โจทก์ฎีกาว่า สมาคมใช้โรงเรือนเป็นที่ตั้งสำนักงานของตนเองย่อมได้ชื่อว่าใช้อยู่เองได้รับการงดเว้นเสียภาษี ไม่ต้องยื่นรายการประเมิน จึงไม่ใช่ผู้รับประเมิน ไม่อยู่ในบังคับมาตรา ๓๙ แต่เป็นเรื่องโจทก์ถูกโต้แย้งสิทธิตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๕๕ มีสิทธิยื่นฟ้องต่อศาลได้โดยไม่จำต้องชำระค่าภาษีก่อนฟ้อง
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ยื่นแบบแจ้งรายการเพื่อเสียภาษีโรงเรือน (ภ.ร.ด.๒) โดยขอลดค่าภาษี อ้างว่า เพราะใช้เป็นสำนักงานเพื่อกิจการของสมาคม เจ้าหน้าที่ผู้ประเมินภาษีเห็นว่าโจทก์ไม่ได้รับการยกเว้นเสียภาษีตามกฎหมาย จึงส่งใบแจ้งรายการประเมินจำนวนค่ารายปีและภาษี (ภ.ร.ด.๘) ไปยังโจทก์ ดังนี้ถือได้หรือไม่ว่า โจทก์เป็น “ผู้รับประเมิน” ซึ่งตามมาตรา ๕ หมายความว่า “บุคคลผู้พึงชำระค่าภาษี”
ศาลฎีกาวินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ว่า หากจะถือเอาตามที่โจทก์อ้างในฎีกา ก็จะมีปัญหาขัดข้องตอนศาลสั่งฟ้อง คือในกรณีที่โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ไม่จำต้องเสียภาษีจะเพราะเหตุใด ๆ ก็ตาม แต่เจ้าพนักงานประเมินมาให้โจทก์เสียภาษี ในขณะโจทก์ยื่นฟ้อง ศาลยังไม่อาจทราบว่าจำเลยจะต่อสู้คดีอย่างไร ข้อเท็จจริงที่จะได้ความในการพิจารณาคดีต่อไปจะเป็นอย่างไร ยังไม่อาจทราบได้ว่าโจทก์จะเป็นผู้ไม่ต้องเสียภาษีเลยหรือต้องเสียเต็มจำนวนหรือต้องเสียเพียงบางส่วน ดังนี้ศาลก็ไม่อาจรู้ได้ว่าจะต้องใช้มาตรา ๓๙ ในการสั่งประทับฟ้องหรือไม่ ถ้าในกรณีเช่นนี้ ศาลรับฟ้องไว้ โดยโจทก์ไม่ตองชำระภาษีก่อน ก็จะไม่มีผู้ใดยอมชำระภาษีที่ถูกประเมินก่อนฟ้อง เพราะเมื่อศาลพิจารณาคดีไปในที่สุด จะชี้ขาดว่าโจทก์ต้องเสียหรือไม่ก็ตามแต่ โจทก์ก็ต้องเสียหรือไม่ต้องเสียไปตามคำชี้ขาดนั้น โจทก์จะได้ชำระค่าภาษีก่อนฟ้องหรือไม่ ไม่มีผลอะไรเลย บทบัญญัติมาตรา ๓๙ ก็จะไร้ผล ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาจึงเห็นว่าเมื่อเจ้าพนักงานแจ้งรายการประเมินภาษีตามมาตรา ๒๔ (ภ.ร.ด.๘) ไปยังผู้ใดบุคคลนั้นก็ได้ชื่อว่าเป็น “ผู้รับประเมิน” โดยเป็น “บุคคลผู้พึงชำระหนี้” ตามที่ประเมินมานั้น ถ้าไม่พอใจการประเมิน จะอ้างว่าเพราะพนักงานเจ้าหน้าที่ประเมินผิดให้เสียภาษีในกรณีไม่ต้องเสีย หรือประเมินให้เสียมากกว่าที่ควรต้องเสีย บุคคลนั้นต้องฟ้องคดีต่อศาลว่าการประเมินไม่ถูก จึงต้องอยู่ภายใต้บทบัญญัติมาตรา ๓๙ ทั้งสิ้น คือต้องชำระค่าภาษีไปก่อน
โจทก์ฎีกาอีกข้อว่า เมื่อศาลชั้นต้นประทับฟ้องไว้แล้วต้องถือว่า เป็นที่พอใจศาลแล้วว่า โจทก์ได้ชำระค่าภาษีแล้ว ศาลฎีกาเห็นว่า จะถือเอาการที่ศาลชั้นต้นประทับฟ้องเป็นข้อสันนิษฐานดังนั้นไม่ได้ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ยังไม่ชำระค่าภาษี โจทก์มิได้ฎีกาโต้เถียง จึงถือได้ว่าโจทก์ยังไม่ชำระ ศาลจะรับฟ้องไว้พิจารณาไม่ได้ ไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาที่อื่น
พิพากษายืน