คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 361/2539

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

เฉพาะจำเลยที่1ที่ให้การว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมโดยจำเลยที่2มิได้ยกเรื่องดังกล่าวขึ้นต่อสู้ด้วยการที่ศาลวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่2เคลือบคลุมด้วยจึงไม่ชอบถือว่าเป็นข้อที่มิได้ว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างต้องห้ามมิให้ฎีกาแต่เมื่อโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่2รับผิดในฐานะเป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนโดยมิได้บรรยายฟ้องว่าใครเป็นผู้เอาประกันภัยรถคันที่จำเลยที่2เป็นผู้รับประกันภัยและมิได้บรรยายฟ้องว่าผู้ขับรถคันนี้มีนิติสัมพันธ์อย่างไรกับผู้เอาประกันภัยซึ่งผู้เอาประกันภัยต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดด้วยฟ้องโจทก์จึงขาดสาระสำคัญที่ทำให้จำเลยที่2ต้องรับผิดและเป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้ส่วนจำเลยที่1ซึ่งโจทก์ก็ฟ้องให้รับผิดฐานะผู้รับประกันภัยค้ำจุนเช่นกันแต่โจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าผู้ขับรถคันดังกล่าวขับรถคันนั้นในฐานะใดหรือมีนิติสัมพันธ์อย่างไรกับผู้เอาประกันภัยรถคันนั้นอันเป็นเหตุให้ผู้เอาประกันภัยต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดด้วยฟ้องโจทก์ย่อมทำให้จำเลยที่1ไม่อาจต่อสู้คดีได้จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุม

ย่อยาว

โจทก์ ฟ้อง ว่า เมื่อ วันที่ 27 มีนาคม 2532 เวลา ประมาณ 19นาฬิกา นาย ร่มเย็น ทองสาย ขับ รถยนต์ คัน หมายเลข ทะเบียน 81-8111กรุงเทพมหานคร ที่ โจทก์ รับประกัน ภัย ไว้ แล่น ไป ตาม ถนน สุขสวัสดิ์ จาก ด้าน บาง ปลา กด มุ่งหน้า ไป ทางแยก พระประแดง นาย วิเชียร อ่วมสุข ขับ รถยนต์ คัน หมายเลข ทะเบียน 80-5504 นครสวรรค์ ที่ จำเลย ที่ 1เป็น ผู้รับประกันภัย ไว้ แล่น นำ หน้า เมื่อ มา ถึง ปาก ทาง เข้าโรงแรม ขวัญใจ นาย วิเชียร ได้ ห้ามล้อ รถ ที่ ขับ มา พร้อม กับ เปลี่ยน ช่อง เดินรถ มา ทาง ช่อง เดินรถ ด้านขวา ด้วย ความประมาท ไม่ ระมัดระวังและ ดู ให้ ดี เสีย ก่อน ว่า มี รถ คัน อื่น แล่น ตาม หลัง มา หรือไม่ เป็นเหตุให้ นาย ร่มเย็น ต้อง ชะลอ ความ เร็ว ของ รถ ลง และ เตรียม ที่ จะ หัก หลบ หรือ หยุด รถ ตาม แต่ ยัง ไม่ ทัน พ้น นาย คำหาญ สุภโกศล ซึ่ง ขับ รถยนต์ หมายเลข ทะเบียน 80-6118 อุบลราชธานี ที่ จำเลย ที่ 2 เป็นผู้รับประกันภัย แล่น ตาม หลัง มา ด้วย ความ เร็ว สูง ด้วย ความประมาทชน ท้ายรถ คัน ที่ โจทก์ รับประกัน ภัย อย่าง แรง และ รถ คัน ที่ โจทก์รับประกัน ภัย ไว้ เสีย หลัก พุ่ง ชน ถูก ท้ายรถยนต์คัน หน้า แล้ว พุ่ง ตกลง ไปข้างทาง ได้รับ ความเสียหาย โจทก์ นำ รถ คัน ที่ โจทก์ รับประกัน ภัย ไว้ไป ซ่อม และ จ่ายเงิน ค่าซ่อม รถ ค่า อะไหล่ เป็น เงิน 32,000 บาท ค่า ยกลาก รถ เป็น เงิน 2,500 บาท รวมเป็น เงิน 34,500 บาท และ ดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อ ปี จาก ต้นเงิน ดังกล่าว นับ จาก วันที่ โจทก์ ชำระ ค่าซ่อมรถยนต์ ถึง วันฟ้อง เป็น เงิน 2,587.50 บาท จึง รับช่วงสิทธิ ใน อัน ที่ จะเรียกร้อง ให้ จำเลย ทั้ง สอง ชดใช้ เงิน จำนวน ดังกล่าว ขอให้ บังคับจำเลย ทั้ง สอง ร่วมกัน ชดใช้ เงิน จำนวน 37,087.50 บาท พร้อม ดอกเบี้ยอัตรา ร้อยละ 7.5 ต่อ ปี ใน ต้นเงิน จำนวน 34,500 บาท นับ ถัด จากวันฟ้อง เป็นต้น ไป จนกว่า จะ ชำระ เสร็จ ให้ แก่ โจทก์
จำเลย ที่ 1 ให้การ ว่า เหตุ รถ ชนกัน เกิดขึ้น เนื่องจาก ความประมาทของ นาย คำหาญ สุภโกศล และ นาย ร่มเย็น ทองสาย ผู้ขับ รถยนต์ แล่น ตาม มา ข้างหลัง ส่วน นาย วิเชียร อ่วมสุข ผู้ขับ รถยนต์ คัน ที่ จำเลย ที่ 1 รับประกัน ภัย ไว้ ขับ รถ อยู่ ข้างหน้า จึง ไม่ต้อง รับผิดจำเลย ที่ 1 จะ ต้อง รับผิด ต่อเมื่อ ผู้เอาประกันภัย จะ ต้อง รับผิดเท่านั้น ค่าเสียหาย เป็น ค่า อะไหล่ และ ค่าซ่อม รถ อย่าง สูง ไม่เกิน8,000 บาท และ ค่า ยก ลาก รถ หาก จะ มี ก็ ไม่เกิน 500 บาท ฟ้อง ของ โจทก์เป็น ฟ้องเคลือบคลุม ขอให้ ยกฟ้อง
จำเลย ที่ 2 ให้การ ว่า นาย คำหาญ สุภโกศล มิได้ เป็น ลูกจ้าง หรือ ตัวแทน ของ นาย พีระพรรณ จิตเรืองไพโรจน์ เจ้าของ รถยนต์ คัน ที่ จำเลย ที่ 2 รับประกัน ภัย นาย คำหาญ นำ รถ คัน ดังกล่าว ไป ใช้ ใน กิจการ ส่วนตัว นาง พีระพรรณ จึง ไม่ต้อง รับผิด เป็น ผล ให้ จำเลย ที่ 2ผู้รับประกันภัย ไม่ต้อง รับผิด เหตุ รถ ชน เกิดจาก ความประมาท ของนาย ร่มเย็น ทองสาย ผู้ขับ รถยนต์ คัน หมายเลข ทะเบียน 81-8111กรุงเทพมหานคร และ ค่าซ่อม รถยนต์ คัน ดังกล่าว นี้ ไม่เกิน 10,000 บาทขอให้ ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิพากษายก ฟ้อง
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกา วินิจฉัย ว่า “ที่ โจทก์ ฎีกา ใน ข้อกฎหมาย ว่า ฟ้องโจทก์ไม่ เคลือบคลุม นั้น สำหรับ ปัญหา ว่า คำฟ้อง โจทก์ เกี่ยวกับ จำเลย ที่ 2เคลือบคลุม หรือไม่ เห็นว่า คดี นี้ เฉพาะ จำเลย ที่ 1 เท่านั้น ที่ ให้การต่อสู้ ว่า ฟ้องโจทก์ เคลือบคลุม จำเลย ที่ 2 หา ได้ หยิบยก ประเด็น เรื่องฟ้องโจทก์ เคลือบคลุม ขึ้น ให้การ ต่อสู้ โจทก์ ไม่ ดังนั้น การ ที่ศาลล่าง ทั้ง สอง วินิจฉัย ว่า ฟ้องโจทก์ เกี่ยวกับ จำเลย ที่ 2 เคลือบคลุมด้วย จึง เป็น การ ไม่ชอบ ถือว่า เป็น ข้อ ที่ มิได้ ว่า กัน มา แล้ว โดยชอบใน ศาลล่าง ต้องห้าม มิให้ ฎีกา ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคแรก ศาลฎีกา ไม่รับ วินิจฉัย อย่างไร ก็ ตาม คดี นี้โจทก์ กล่าว ใน ฟ้อง ว่า จำเลย ที่ 2 เป็น ผู้รับประกันภัย ค้ำจุน รถยนต์คัน หมายเลข ทะเบียน 80-6118 อุบลราชธานี ขอให้ ร่วมรับผิดใน ผล แห่ง ละเมิด ที่นาย คำหาญ สุภโกศล ขับ รถ คัน ที่ จำเลย ที่ 2รับประกัน ภัย โดยประมาท ชน รถยนต์ ที่ โจทก์ รับประกัน ภัย ไว้ เสียหายเช่นนี้ ข้ออ้าง ที่อาศัย เป็น หลักแห่งข้อหา ก็ คือ โจทก์ ฟ้อง ขอให้จำเลย ที่ 2 รับผิด ใน ฐานะ เป็น ผู้รับประกันภัย ค้ำจุน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 887 นั่นเอง แต่ ตาม มาตรา 887นั้น ผู้รับประกันภัย จะ ต้อง รับผิด ต่อเมื่อ เป็น วินาศภัย ซึ่ง ผู้ เอาประกันภัย จะ ต้อง รับผิดชอบ ตาม คำฟ้อง ของ โจทก์ คดี นี้ โจทก์ หา ได้บรรยายฟ้อง ให้ ปรากฎ ไม่ว่า ใคร เป็น ผู้เอาประกันภัย รถยนต์ คันหมายเลข ทะเบียน 80-6118 อุบลราชธานี ที่ จำเลย ที่ 2 เป็นผู้รับประกันภัย และ มิได้ บรรยายฟ้อง ให้ ปรากฎ ด้วย ว่า นาย คำหาญ ผู้ขับ รถยนต์ คัน นี้ มี นิติสัมพันธ์ อย่างไร กับ ผู้เอาประกันภัย ซึ่งผู้เอาประกันภัย จะ ต้อง ร่วมรับผิด ใน ผล แห่ง ละเมิด ของ นาย คำหาญ ด้วย คำฟ้อง ของ โจทก์ จึง ขาด สาระสำคัญ อันเป็น ประเด็น แห่ง คดี ที่ พึงกระทำ ให้ จำเลย ที่ 2 ต้อง รับผิด และ ศาล จะ พิพากษา ให้ โจทก์ ชนะคดีจำเลย ที่ 2 โดย ไม่ อาศัย คำฟ้อง ไม่ได้ จำเลย ที่ 2 จึง ไม่ต้องรับผิด ต่อ โจทก์ ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 887 และ ปัญหาข้อ นี้ เป็น ปัญหา อัน เกี่ยว ด้วย ความสงบ เรียบร้อย ของ ประชาชนศาลฎีกา เห็นสมควร หยิบยก ขึ้น วินิจฉัย เอง ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5) ประกอบ มาตรา246 และ 247 ที่ ศาลอุทธรณ์ พิพากษายก ฟ้องโจทก์ สำหรับ จำเลย ที่ 2 มาด้วย นั้น ศาลฎีกา เห็นพ้อง ด้วย ใน ผล
ส่วน ปัญหา ว่า ฟ้องโจทก์ เกี่ยวกับ จำเลย ที่ 1 เคลือบคลุม หรือไม่นั้น เห็นว่า โจทก์ ฟ้อง ให้ จำเลย ที่ 1 รับผิด ใน ฐานะ ผู้รับประกันภัยค้ำจุน รถยนต์ คัน หมายเลข ทะเบียน 80-5504 นครสวรรค์ แต่ โจทก์มิได้ บรรยายฟ้อง ว่า นาย วิเชียร อ่วมสุข ผู้ขับ รถยนต์ คัน ดังกล่าว ขับ รถยนต์ คัน นั้น ใน ฐานะ ใด หรือ มี นิติสัมพันธ์ อย่างไร กับ ผู้ เอาประกันภัย รถยนต์ คัน นั้น อัน จะ เป็นเหตุ ให้ ผู้เอาประกันภัย จะ ต้อง ร่วมรับผิด ใน ผล แห่ง การ ทำละเมิด ของ นาย วิเชียร เมื่อ ฟ้องโจทก์ มิได้ บรรยาย ถึง เหตุ ที่ จะ ทำให้ ผู้เอาประกันภัย ต้อง รับผิด แล้ว จำเลย ที่ 1ใน ฐานะ ผู้รับประกันภัย ค้ำจุน ซึ่ง จะ ต้อง ใช้ ค่าสินไหมทดแทน ก็ ต่อเมื่อเป็น วินาศภัย ซึ่ง ผู้เอาประกันภัย จะ ต้อง รับผิดชอบ จึง ไม่ต้อง รับผิดด้วย คำฟ้อง ของ โจทก์ เกี่ยวกับ จำเลย ที่ 1 เช่นนี้ ย่อม ทำให้จำเลย ที่ 1 ผู้รับประกันภัย ค้ำจุน ไม่อาจ ต่อสู้ คดี โจทก์ ได้ จึง เป็นฟ้องเคลือบคลุม ฎีกา ของ โจทก์ ฟังไม่ขึ้น ”
พิพากษายืน

Share