แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ตามคำฟ้องของโจทก์ได้กล่าวไว้ว่า โจทก์ได้มอบอำนาจให้ น.เป็นผู้รับมอบอำนาจแทนและแต่งตั้งทนายความแทนโจทก์ จำเลยมิได้ให้การปฏิเสธโดยชัดแจ้งว่าโจทก์มิได้มอบอำนาจให้ น. หรือการมอบอำนาจไม่ถูกต้องอย่างใด คดีจึงไม่มีประเด็นที่จะวินิจฉัยในเรื่องการมอบอำนาจ จึงไม่มีกรณีที่จะต้องใช้หนังสือมอบอำนาจเป็นพยานหลักฐาน แม้หนังสือมอบอำนาจของโจทก์จะไม่ได้ขีดฆ่าอากรแสตมป์คดีก็ต้องฟังว่า น. เป็นผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์มีอำนาจแต่งทนายให้ฟ้องคดีได้ โจทก์คงอุทธรณ์เฉพาะในข้อที่ขอให้ยกคำพิพากษาศาลภาษีอากรกลางเท่านั้น แม้คดีจะได้มีการสืบพยานในประเด็นที่พิพาทกันมาครบถ้วนและโจทก์ได้เสียค่าขึ้นศาลเต็มจำนวนทุนทรัพย์ตามคำฟ้อง ก็เป็นการเสียเกินมา เมื่อในคำฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์มิได้ยกข้อพิพาทในเนื้อหาของคดีขึ้นมาในคำฟ้องอุทธรณ์และมิได้ขอให้พิพากษาตามคำขอของโจทก์ตามที่ฟ้องมา ศาลฎีกาจึงไม่อาจใช้ดุลพินิจพิจารณาข้อพิพาทในส่วนที่นอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องอุทธรณ์ได้.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้มอบอำนาจให้นายนครรัตน์ เมธีระวัฒน์เป็นผู้รับมอบอำนาจแทน และแต่งตั้งทนายความแทนโจทก์ โจทก์ได้นำสินค้าประเภทถังทำด้วยเหล็กจำนวน 2 รายการ เข้ามาในราชอาณาจักรเจ้าหน้าที่ตรวจสินค้าของจำเลยแจ้งว่า สินค้ารายการที่ 2ในใบขนสินค้าดังกล่าว โจทก์จัดเข้าพิกัดไม่ถูกต้อง เป็นเหตุให้ชำระอากรขาด และได้กักสินค้าของโจทก์ไว้ โจทก์ต้องการนำสินค้าออกจึงได้วางเงินประกันค่าภาษีอากรไว้จำนวน 151,500 บาท ต่อมาเจ้าหน้าที่ของจำเลยได้วินิจฉัยว่า สินค้ารายการที่ 2 ของโจทก์ต้องจัดเข้าพิกัด 98.15 อัตราอากร 60 เปอร์เซ็นต์ของราคา โจทก์ไม่เห็นด้วย จึงได้อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาปัญหาพิกัดอัตราศุลกากรและคณะกรรมการพิจารณาแล้วมีคำสั่งยืนตามคำสั่งเดิมจึงขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งประเมินอากรของจำเลย และให้จำเลยคืนเงินประกันค่าภาษีอากรจำนวน 151,500 บาท แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า การประเมินของจำเลยถูกต้องและชอบด้วยกฎหมายแล้วและว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความเพราะโจทก์ได้นำสินค้ามาเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2529 และโจทก์รับสินค้าไปแล้ว นับถึงวันฟ้องเป็นเวลาเกินกว่า 2 ปีแล้ว โจทก์ไม่ได้อุทธรณ์การประเมินเกี่ยวกับภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 30 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องเกี่ยวกับภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาล ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า หนังสือมอบอำนาจของโจทก์ปิดอากรแสตมป์ครบจำนวนแต่ไม่ขีดฆ่า จึงใช้เป็นพยานหลักฐานให้ฟังว่ามีการมอบอำนาจไม่ได้ ผู้รับมอบอำนาจจึงไม่มีอำนาจแต่งทนายความฟ้องคดีแทนโจทก์ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาวินิจฉัยว่าผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์มีอำนาจแต่งทนายความฟ้องคดีหรือไม่ เห็นว่าตามคำฟ้องของโจทก์นั้นโจทก์ได้กล่าวไว้ในคำฟ้องว่า โจทก์ได้มอบอำนาจให้นายนครรัตน์เป็นผู้รับมอบอำนาจแทน และแต่งตั้งทนายความแทนโจทก์ตามเอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข 2 จำเลยมิได้ให้การปฏิเสธโดยชัดแจ้งว่า โจทก์มิได้มอบอำนาจให้นายนครรัตน์หรือการมอบอำนาจตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2 ไม่ถูกต้องอย่างใด คดีจึงไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในเรื่องการมอบอำนาจ จึงไม่มีกรณีที่จะต้องใช้หนังสือมอบอำนาจเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2 เป็นพยานหลักฐาน ดังนั้นการที่ศาลภาษีอากรกลางยกเอาการที่เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2ไม่ขีดฆ่าอากรแสตมป์มาฟังว่าการมอบอำนาจรับฟังไม่ได้นั้น จึงเป็นการวินิจฉัยที่ไม่ชอบ คดีต้องฟังว่านายนครรัตน์เป็นผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์มีอำนาจแต่งทนายให้ฟ้องคดีได้ อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้นแม้คดีจะได้มีการสืบพยานในประเด็นที่พิพาทกันมาครบถ้วนแล้วแต่อุทธรณ์ของโจทก์คงอุทธรณ์เฉพาะในข้อที่ขอให้ยกคำพิพากษาศาลภาษีอากรกลางเท่านั้น แม้จะเสียค่าขึ้นศาลเต็มจำนวนทุนทรัพย์ตามคำฟ้องก็เป็นการเสียเกินมาแต่เมื่อในคำฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์มิได้ยกข้อพิพาทในเนื้อหาของคดีขึ้นมาในคำฟ้องอุทธรณ์และมิได้ขอให้พิพากษาตามคำขอของโจทก์ตามที่ฟ้องมา ศาลฎีกาจึงไม่อาจใช้ดุลพินิจพิจารณาข้อพิพาทในส่วนที่นอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องอุทธรณ์ได้”
พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลภาษีอากรกลาง ให้ศาลภาษีอากรกลางพิจารณาประเด็นที่ยังมิได้วินิจฉัยแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดีคืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ส่วนที่เกิน 200 บาท ให้โจทก์ค่าฤชาธรรมเนียมนอกจากนี้ให้ศาลภาษีอากรกลางรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่.