คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3602/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ว.ได้มาซึ่งที่ดินและตึกแถวพิพาทหลังจากที่ว. และจำเลยเป็นสามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว ที่ดินและตึกแถวพิพาทย่อมตกเป็นสินสมรสของ ว.และจำเลยเมื่อว. เป็นคนต่างด้าวถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินมิได้เพราะเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 86 ที่ดินและตึกแถวพิพาทจึงเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยซึ่งมีสัญชาติไทยแต่เพียงผู้เดียว

ย่อยาว

คดีสองสำนวนนี้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกันโดยให้เรียกโจทก์สำนวนแรกและจำเลยสำนวนหลังว่า โจทก์ เรียกจำเลยสำนวนแรกและโจทก์สำนวนหลังว่าจำเลย
สำนวนแรก โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายสมชาย เดิมนายสมชายเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 51 ตำบลแม่สาย อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย พร้อมตึกแถวเลขที่ 20 และ 21 ที่ดินพร้อมตึกแถวดังกล่าวเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับนายสมชาย จำเลยเป็นผู้อยู่อาศัยในตึกแถวพิพาทเลขที่ 21 มาเป็นเวลา 10 ปีเศษแล้วโดยนายสมชายยินยอมให้อยู่อาศัยเพราะเป็นญาติกัน นายสมชายเคยบอกกล่าวให้จำเลยและบริวารออกไปแต่จำเลยขอผัดผ่อน จนกระทั่งวันที่ 27 มิถุนายน 2529 นายสมชายถึงแก่กรรม โจทก์ร้องขอเป็นผู้จัดการมรดก และศาลแพ่งมีคำสั่งตั้งให้โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของนายสมชาย โจทก์มอบอำนาจให้ทนายความมีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยและบริวารออกไปจากตึกแถวพิพาทแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยพร้อมบริวารส่งมอบตึกแถวพิพาทเลขที่ 21 แก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อย พร้อมกับขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากตึกแถวพิพาทดังกล่าว
จำเลยให้การว่า นายวิโรจน์สามีจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในตึกแถวพิพาทเลขที่ 21 ซึ่งเป็นตึกแถวสองคูหา เมื่อนายวิโรจน์ตายตึกแถวพิพาทดังกล่าวจึงเป็นมรดกตกทอดแก่จำเลย ส่วนตึกแถวเลขที่ 20 ของโจทก์ก็เป็นตึกแถวสองคูหาเช่นเดียวกัน นายวิโรจน์ได้ปลูกสร้างอาคารตึกแถวสี่คูหาลงบนที่ดินโฉนดที่ 51 ตำบลแม่สายอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ด้วยทุนทรัพย์ของตนเอง ขณะก่อสร้างที่ดินนั้นยังเป็นที่ดินมือเปล่า นายสมชายได้ตกลงขายที่ดินเนื้อที่ 140 ตารางวา ซึ่งเป็นที่ปลูกสร้างตึกแถวพิพาทให้แก่นายวิโรจน์ในราคา 100,000 บาท เพื่อตอบแทนกับการที่นายวิโรจน์ก่อสร้างตึกแถวเลขที่ 20 ให้แก่นายสมชาย ตึกแถวสร้างเสร็จเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2501 นายวิโรจน์ก็เข้าครอบครองเป็นเจ้าของที่ดินพร้อมตึกแถวพิพาทเลขที่ 21 ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ในปี 2504นายวิโรจน์ยังไม่ได้สัญชาติไทย ส่วนนายสมชายได้สัญชาติไทยแล้วจึงได้มอบหมายให้นายสมชายออกโฉนดที่ดินทั้งสองแปลงเป็นแปลงเดียวกันซึ่งเป็นที่ดินใช้ปลูกสร้างตึกแถวสี่คูหาโดยใส่ชื่อนายสมชายผู้เดียวเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์จนกว่านายวิโรจน์จะได้สัญชาติไทย แต่นายวิโรจน์ถึงแก่กรรมเสียก่อน นายวิโรจน์และจำเลยได้เข้าครอบครองโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ เมื่อนายวิโรจน์ถึงแก่กรรมจำเลยก็ยังครอบครองสืบต่อมารวมแล้วเป็นเวลา 29 ปีเศษ จำเลยจึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนที่ปลูกสร้างตึกแถวพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์แล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิที่จะขับไล่จำเลย ขอให้ยกฟ้อง
สำนวนหลัง จำเลยฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายวิโรจน์ เดิมเมื่อปี 2501 นายวิโรจน์ได้จ้างนายเทพปลูกสร้างตึกแถวสองชั้นสี่คูหาลงในที่ดินโฉนดที่ 51ตำบลแม่สาย อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ของนายสมชายสามีโจทก์ซึ่งขณะนั้นยังไม่ได้ออกโฉนดที่ดิน โดยมีข้อตกลงว่านายวิโรจน์เป็นผู้ออกเงินค่าก่อสร้างทั้งหมดเป็นเงิน 200,000 บาท เมื่อปลูกสร้างเสร็จแล้วนายสมชายตกลงแบ่งที่ดินพิพาทเนื้อที่ประมาณ140 ตารางวา พร้อมตึกแถวสองคูหา ด้านทิศเหนือภายในกรอบเส้นสีแดงตามแผนที่ท้ายฟ้องให้แก่นายวิโรจน์ ส่วนตึกแถวสองคูหาด้านทิศใต้เป็นของนายสมชาย การก่อสร้างตึกแถวทั้งสี่คูหาแล้วเสร็จในปี 2501นายวิโรจน์และนายสมชายต่างได้ครอบครองเป็นเจ้าของที่ดินพร้อมตึกแถวแยกเป็นส่วนสัด นายวิโรจน์ครอบครองที่ดินพิพาทพร้อมตึกแถวพิพาทเลขที่ 21 โดยประกอบกิจการค้าตลอดมา ส่วนนายสมชายครอบครองที่ดินพร้อมตึกแถวเลขที่ 20 ต่อมาปี 2504 ทางราชการประกาศออกโฉนดที่ดินในท้องที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ขณะนั้นนายวิโรตน์ยังไม่ได้สัญชาติไทย ส่วนนายสมชายได้สัญชาติไทยแล้วคนทั้งสองรักใคร่สนิทสนมกันเสมือนญาติที่ไว้วางใจกันและกันได้นายวิโรจน์จึงมอบหมายให้นายสมชายเป็นผู้ขอออกโฉนดที่ดินพิพาทแทนรวมเป็นแปลงเดียวกันกับที่ดินส่วนของนายสมชายจนกว่านายวิโรจน์จะได้สัญชาติไทยแล้วจึงค่อยแบ่งแยกให้แก่นายวิโรจน์นายวิโรจน์ได้ครอบครองที่ดินพร้อมตึกแถวพิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตลอดมาแต่ยังมิทันได้แบ่งแยกกรรมสิทธิ์กันจนนายวิโรจน์ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์2527 จำเลยจึงได้ครอบครองเป็นเจ้าของที่ดินพร้อมตึกแถวพิพาทสืบทอดรับมรดก นายวิโรจน์เรื่อยมาโดยนายสมชายรับว่าจะจัดการแบ่งแยกโฉนดที่ดินและโอนให้จำเลยจนเป็นที่เรียบร้อย แต่ต่อมานายสมชายได้ถึงแก่กรรม และโจทก์ซึ่งเป็นภริยานายสมชายได้ให้ทนายความมีหนังสือแจ้งให้จำเลยและบริวารออกไปจากตึกแถวพิพาทและฟ้องขับไล่จำเลยต่อศาลชั้นต้น เป็นการโต้แย้งสิทธิของจำเลยขอให้พิพากษาว่าที่ดินพิพาทภายในกรอบสีแดงตามแผนที่ท้ายฟ้องเนื้อที่ประมาณ 140 ตารางวา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดที่ 51ตำบลแม่สาย อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยโดยการครอบครองปรปักษ์ห้ามมิให้โจทก์และบริวารเข้าเกี่ยวข้องและให้โจทก์แบ่งแยกที่ดินพิพาทดังกล่าวให้แก่จำเลยโดยให้โจทก์เป็นฝ่ายออกค่าใช้จ่ายแต่ฝ่ายเดียว หากโจทก์ไม่ไปแบ่งแยกให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
โจทก์ให้การว่า จำเลยนายสมชายสามีโจทก์ไม่เคยมีข้อตกลงหรือสัญญาต่างตอบแทนกับนายวิโรจน์ตามฟ้อง ที่ดินโฉนดที่ 51พร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นห้องแถวไม้สี่ห้องนายสมชายซื้อมาจากจ่าสิบตำรวจดำริห์ เมื่อปี 2500 ขณะนั้นที่ดินดังกล่าวมีหลักฐานเป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 154 เมื่อซื้อแล้ว 1-2 ปีนายสมชายได้ปลูกสร้างตึกแถวสองชั้นสี่คูหา เลขที่ 20 และ 21ในที่ดินนั้นโดยมอบให้นายวิโรจน์ช่วยควบคุมดูแลการก่อสร้างแทนภายหลังปลูกสร้างตึกแถวดังกล่าวเสร็จแล้วนายวิโรจน์อ้างว่าไม่มีที่ทำมาหากินและอยู่อาศัย ได้ขออนุญาตนายสมชายเข้าไปทำการค้าและอยู่อาศัยในตึกแถวพิพาท นายวิโรจน์และบริวารจึงอยู่ในที่ดินพร้อมตึกแถวพิพาทในฐานะผู้อาศัยตลอดมา ในปี 2504 นายสมชายได้ขอออกโฉนดที่ดิน นายวิโรจน์ไม่เคยโต้แย้งว่าตนมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพร้อมตึกแถวพิพาท ทั้ง ๆ ที่ขณะนั้นนายวิโรจน์ก็มีสัญชาติไทยแล้ว นายสมชายไม่เคยรับรองว่าจะจัดการแบ่งแยกและโอนโฉนดที่ดินให้แก่จำเลย นายวิโรจน์และจำเลยทราบว่าตนอยู่ในฐานะผู้อาศัย ต่อมาปี 2529 นายสมชายถึงแก่กรรมโจทก์ได้ร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของนายสมชายและรับโอนมรดกที่ดินพร้อมตึกพิพาทเป็นของโจทก์ อายุความครอบครองปรปักษ์จึงสะดุดหยุดลงนับแต่มีการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงเจ้าของกรรมสิทธิ์ จำเลยจึงไม่อาจยกเอาประโยชน์แห่งการครอบครองปรปักษ์มาใช้ยันโจทก์ได้ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากตึกแถวพิพาทเลขที่ 21 ตำบลแม่สาย อำเภอแม่สายจังหวัดเชียงราย และให้จำเลยกับบริวารส่งมอบตึกแถวดังกล่าวให้แก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อย และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความให้ 5,000 บาท และให้ยกฟ้องจำเลยในสำนวนหลัง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ (สำนวนแรก)เสียด้วย
โจทก์ จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า เดิมนายสมชาย อุ่นจิตรและนายวิโรจน์ ศรีมนัส เป็นคนเชื้อชาติจีนสัญชาติจีน ต่อมานายสมชายได้โอนสัญชาติเป็นสัญชาติไทยก่อนและเมื่อปี 2506 หรือ 2507 นายวิโรจน์ได้โอนสัญชาติเป็นสัญชาติไทยโจทก์เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายสมชาย ส่วนจำเลยเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายวิโรจน์ และเดิมนายสมชายเป็นผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 51 ตำบลแม่สาย อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย พร้อมตึกแถวพิพาทสองชั้นสี่คูหาเลขที่ 20และ 21 โจทก์และนายสมชายครอบครองตึกแถวเลขที่ 20 จำเลยและนายวิโรจน์ครอบครองตึกแถวเลขที่ 21 ก่อนปี 2503 ต่อมาเมื่อปี 2529นายสมชายตาย และในปี 2530 โจทก์รับมรดกนายสมชายและเป็นผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทพร้อมตึกแถว นายวิโรจน์และจำเลยก็ยังครอบครองตึกแถวพิพาทเลขที่ 21 ตลอดมาจนกระทั่งนายวิโรจน์ถึงแก่กรรม จำเลยก็ยังคงครอบครองตึกแถวพิพาทเลขที่ 21และได้ต่อเติมด้านหลังตึกแถวพิพาทเป็นอาคารคอนกรีตสองชั้นและชั้นเดียวด้วย ในปัญหาที่โจทก์ฎีกาว่าตึกแถวพิพาทเลขที่ 21พร้อมที่ดินเป็นของโจทก์นั้น ฟังได้ว่า นายสมชายและนายวิโรจน์ได้ตกลงทำสัญญาต่างตอบแทนกัน โดยนายสมชายตกลงยกที่ดินพิพาทครึ่งหนึ่งให้นายวิโรจน์ นายวิโรจน์ปลูกตึกแถวพิพาทเลขที่ 20และ 21 ในที่ดินพิพาทและตกลงยกตึกแถวพิพาทเลขที่ 20 ให้แก่นายสมชาย จำเลยและนายวิโรจน์จึงเป็นผู้ครอบครองและยึดถือที่ดินพร้อมตึกแถวพิพาทเลขที่ 21 เป็นของตนอย่างเป็นเจ้าของที่จำเลยฎีกาว่า แม้นายวิโรจน์สามีจำเลยจะเป็นคนต่างด้าวมาก่อนที่จะได้ที่ดินพร้อมตึกแถวพิพาทเลขที่ 21 ต้องตกอยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 86 แต่ต่อมานายวิโรจน์ได้โอนสัญชาติเป็นสัญชาติไทย จำเลยเป็นคนเชื้อชาติไทยและสัญชาติไทย เมื่อนายวิโรจน์ถึงแก่กรรม ที่ดินพิพาทย่อมตกได้แก่จำเลยซึ่งเป็นทายาทเห็นว่า นายวิโรจน์และจำเลยแต่งงานกันและเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมายก่อนที่นายวิโรจน์จะได้มาซึ่งที่ดินและตึกแถวพิพาท เมื่อนายวิโรจน์ได้มาซึ่งที่ดินและตึกแถวพิพาทแล้วที่ดินและตึกแถวพิพาทย่อมตกเป็นสินสมรสของจำเลยและนายวิโรจน์เมื่อนายวิโรจน์เป็นคนต่างด้าวถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินมิได้เพราะเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 86 ที่ดินและตึกแถวพิพาทจึงเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยซึ่งมีสัญชาติไทยแต่เพียงผู้เดียว จำเลยจึงมีสิทธิฟ้องบังคับให้โจทก์ทำการแบ่งแยกที่ดินพิพาทและโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมตึกแถวพิพาทเลขที่ 21 ตั้งอยู่ให้แก่จำเลยได้
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้โจทก์ไปดำเนินการแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 51 ตำบลแม่สาย อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ให้แก่จำเลยครึ่งหนึ่งเนื้อที่ประมาณ 140 ตารางวา โดยให้จำเลยได้รับกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทตรงส่วนที่มีตึกแถวพิพาทเลขที่ 21 ตั้งอยู่และให้ดำเนินการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมตึกแถวพิพาทเลขที่ 21ให้แก่จำเลยด้วย ค่าใช้จ่ายในการแบ่งแยกและโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมตึกแถวพิพาทเลขที่ 21 ให้โจทก์จำเลยออกคนละครึ่ง หากโจทก์ไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของโจทก์

Share