แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
กรรมการของบริษัทผู้ได้รับมอบอำนาจให้ลงลายมือชื่อในกรมธรรม์ประกันภัยแทนบริษัท ไม่ต้องรับผิดตามกรมธรรม์ร่วมกับบริษัท
โจทก์ฎีกาว่าตามพยานหลักฐานของโจทก์พึงเห็นได้ว่าความเสียหายที่โจทก์ได้รับเป็นความจริง จำเลยมิได้จัดการให้โจทก์ตามที่จำเลยต้องรับผิดตามสัญญา การละเลยของจำเลยทั้งสองเป็นผลให้โจทก์เสียหายยิ่งกว่าที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย จำเลยทั้งสองจึงต้องรับผิดในความเสียหายของโจทก์เต็มตามฟ้อง ไม่ใช่ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย เป็นฎีกาที่ไม่ได้ยกข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายขึ้นว่าไว้โดยชัดแจ้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 เพราะมิได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าไม่ชอบด้วยเหตุอย่างไร.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ผู้รับประกันภัยและจำเลยที่ 2 กรรมการผู้จัดการของจำเลยที่ 1 ให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนพร้อมดอกเบี้ยรวม 103,894.50 บาทเนื่องจากรถยนต์บรรทุกของโจทก์ที่เอาประกันภัยไว้กับจำเลยที่ 1 เสียหายเพราะชนกับรถของผู้อื่น
จำเลยทั้งสองให้การว่ากรมธรรม์ประกันภัยเป็นโมฆะเพราะโจทก์ไม่ใช่เจ้าของรถยนต์พิพาทและไม่มีส่วนได้เสีย จำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัวเพราะทำแทนจำเลยที่ 1 ค่าซ่อมรถไม่เกิน20,000 บาทคำฟ้องในส่วนค่าเสียหายเคลือบคลุม โจทก์ไม่เคยทวงถามจึงคิดดอกเบี้ยจากวันเกิดเหตุไม่ได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ในฐานะกรรมการจำเลยที่ 1 ร่วมกันใช้เงิน 152,460 บาทแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้จำเลยที่ 1 ใช้เงิน 57,460 บาทแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
โจทก์และจำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าในปัญหาว่าจำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 หรือไม่ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์เอาประกันภัยรถยนต์คันพิพาทกับจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นกรรมการผู้ได้รับมอบอำนาจจากจำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อในกรมธรรม์ประกันภัยแทนจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนิติบุคคลการกระทำของจำเลยที่ 2 มิใช่ทำเป็นส่วนตัว โจทก์ก็ทราบดีว่าทำสัญญากับจำเลยที่ 1 เมื่อจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาจำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1
สำหรับฎีกาของโจทก์ที่ขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเต็มตามฟ้องนั้น โจทก์บรรยายความว่าดังที่โจทก์เบิกความและปรากฏตามพยานหลักฐานของโจทก์แล้ว พึงเห็นได้ว่าความเสียหายที่โจทก์ได้รับเป็นความจริงและน่าสมควรกับความเสียหายที่โจทก์ได้รับซึ่งโดยพฤติการณ์ของจำเลยทั้งสองก็มิได้จัดการให้โจทก์ตามที่จำเลยทั้งสองต้องรับผิดตามสัญญา การละเลยของจำเลยทั้งสองเป็นผลให้เกิดความเสียหายต่อโจทก์ยิ่งกว่าที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยไว้ จำเลยทั้งสองจึงต้องรับผิดในความเสียหายของโจทก์เต็มจำนวนหนี้ตามฟ้องหาใช่เป็นดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยแก้ไม่ ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์มิได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าไม่ชอบด้วยเหตุอย่างไร จึงเป็นฎีกาที่มิได้ยกข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายขึ้นว่าไว้โดยชัดแจ้งไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 ศาลฎีการับวินิจฉัยให้ไม่ได้
ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่ากระทะล้อรถและตัวถังรถน่าจะมิได้เสียหายเนื่องจากถูกรถผู้อื่นชนจำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยที่ 1 มิได้ยกปัญหานี้ขึ้นต่อสู้ในชั้นอุทธรณ์จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
และฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์เป็นเจ้าของรถยนต์คันพิพาท ค่าซ่อมหัวเก๋งรถ 30,000 บาทเหมาะสมแล้ว
พิพากษายืน.