แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยกระทำผิดไปด้วยอารมณ์โกรธแค้นที่เกิดขึ้นในทันทีทันใดโดยมิได้มุ่งประสงค์ต่อผลในการแสวงหาประโยชน์จากทรัพย์สินดังกล่าวโดยแท้จริง จึงเป็นการกระทำที่ขาดเจตนาในการที่จะมุ่งกระทำการลักเข็มขัดของผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานพยายามชิงทรัพย์ แต่การที่จำเลยขู่เข็ญผู้เสียหายให้ส่งเข็มขัดให้ย่อมเป็นการข่มขืนใจผู้เสียหายให้กระทำตามที่จำเลยประสงค์ โดยทำให้กลัวว่าจะทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายของผู้เสียหาย จำเลยจึงมีความผิดต่อเสรีภาพตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 วรรคแรก ผู้เสียหายเบิกความและยื่นคำร้องฝ่ายเดียวต่อศาลว่าการกระทำของจำเลยไม่มีเจตนาที่จะทำการชิงทรัพย์เพราะเป็นการเข้าใจผิด รู้เท่าไม่ถึงการณ์และจำเลยเป็นนักศึกษา ผู้เสียหายไม่ติดใจเอาความใด ๆ กับจำเลย ถือไม่ได้ว่าเป็นการยอมความแต่พอถือได้ว่าเป็นคำแถลงที่ผู้เสียหายไม่ติดใจเอาความกับจำเลยและขอให้ศาลปราณีเพื่อประกอบการใช้ดุลพินิจกำหนดโทษเท่านั้น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2531 เวลากลางวันจำเลยได้ลักเอาเข็มขัดพร้อมหัวเข็มขัดทองเหลือง 1 เส้น ราคา 30 บาทของนายกีรดิต สุทธิวารี ผู้เสียหายไปโดยทุจริต ในการลักทรัพย์ดังกล่าวจำเลยได้ใช้กำลังประทุษร้ายโดยใช้มือกระชากคอเสื้อและพูดขู่เข็ญผู้เสียหายว่าในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้ายผู้เสียหายหากต่อสู้ขัดขืน ทั้งนี้เพื่อให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์ให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์นั้น จำเลยได้ลงมือกระทำความผิดไปตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล เพราะเจ้าพนักงานตำรวจเข้าขัดขวางจำเลยจึงไม่อาจลักทรัพย์ของผู้เสียหายไปได้ เหตุเกิดที่แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร ตามวันเวลา และสถานที่ดังกล่าวเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยพร้อมด้วยเข็มขัดและหัวเข็มขัดของผู้เสียหายเป็นของกลาง ของกลางผู้เสียหายรับคืนไปแล้ว ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339, 80
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานพยายามชิงทรัพย์ แต่เป็นความผิดต่อเสรีภาพ พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 วรรคแรก ให้จำคุก 6 เดือน และปรับ 2,000 บาท ไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยรับโทษจำคุกมาก่อนทั้งผู้เสียหายไม่ติดใจเอาความแก่จำเลย เมื่อคำนึงถึงพฤติการณ์แห่งคดีแล้วเห็นสมควรให้โอกาสแก่จำเลยกลับตัวสักครั้งหนึ่งโทษจำคุกจึงให้รอการลงโทษมีกำหนด 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 56 และให้คุมประพฤติจำเลยไว้โดยให้ไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุก 3 เดือน ตลอดระยะเวลา 1 ปี หากจำเลยไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความ
โจทก์ฎีกา โดยอธิบดีกรมอัยการรับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “จำเลยได้กระทำผิดดังฟ้องหรือไม่ในความผิดฐานพยายามชิงทรัพย์นั้น มีข้อต้องวินิจฉัยในเบื้องต้นว่าจำเลยมีเจตนาลักทรัพย์หรือไม่ เห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติได้ว่าจำเลยกับผู้เสียหายเป็นนักศึกษาต่างสถาบันโดยจำเลยเป็นนักศึกษาอยู่วิทยาลัยช่างกลปทุมวัน ส่วนผู้เสียหายเป็นนักศึกษาสถาบันเทคโนโลยีราชมงคลวิทยาเขตอุเทนถวาย นักศึกษาสองสถาบันนี้เคยมีเรื่องวิวาทชกต่อยกันเป็นประจำ บางครั้งยกพวกตีกัน จำเลยเคยถูกนักศึกษาสถาบันเดียวกับผู้เสียหายทำร้ายร่างกายด้วยมีดได้รับบาดเจ็บที่ต้นคอและแขน นอกจากนั้นยังเคยถูกทำร้ายร่างกายถีบตกลงจากรถยนต์โดยสารประจำทางถึงสลบ การที่จำเลยกระชากคอเสื้อและพูดขู่เข็ญผู้เสียหายให้ถอดเข็มขัดให้แก่จำเลยซึ่งเพิ่งพบกันที่ศูนย์การค้านั้น ปรากฏว่าเข็มขัดที่จำเลยขู่เข็ญจะเอาจากผู้เสียหายนั้นหัวเข็มขัดทำด้วยทองเหลืองเป็นหัวเข็มขัดสำหรับนักศึกษาสถาบันเทคโนโลยีราชมงคลวิทยาเขตอุเทนถวายใช้เท่านั้น ราคาเพียง 30 บาทซึ่งจำเลยย่อมไม่สามารถจะนำไปใช้ หรือเพื่อแสวงหาประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินได้ ตามพฤติการณ์ที่ปรากฏเป็นเรื่องที่กระทำไปด้วยอารมณ์โกรธแค้นที่เกิดขึ้นในทันทีทันใด โดยมิได้มุ่งประสงค์ต่อผลในการแสวงหาประโยชน์จากทรัพย์สินดังกล่าวโดยแท้จริง จึงเป็นการกระทำที่ขาดเจตนาในการที่จะมุ่งกระทำการลักเข็มขัดของผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานพยายามชิงทรัพย์ดังฟ้อง แต่การที่จำเลยขู่เข็ญผู้เสียหายให้ส่งเข็มขัดให้แก่จำเลยนั้นย่อมเป็นการข่มขืนใจผู้เสียหายให้กระทำตามที่จำเลยประสงค์ โดยทำให้กลัวว่าจะทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายของผู้เสียหาย จำเลยจึงมีความผิดต่อเสรีภาพตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 309 วรรคแรก
ส่วนที่โจทก์ฎีกาปัญหาข้อสุดท้ายว่า ที่ผู้เสียหายเบิกความว่าผู้เสียหายไม่ติดใจเอาความกับจำเลยเนื่องจากเป็นนักศึกษาด้วยกันอาจจะมีการเข้าใจผิดกัน ถือไม่ได้ว่าผู้เสียหายและจำเลยยอมความกันนั้น เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องกล่าวหาจำเลยข้อหาชิงทรัพย์ซึ่งเป็นความผิดอาญาแผ่นดินอันไม่อาจยอมความกันได้ ที่ผู้เสียหายเบิกความและยื่นคำร้องแต่ฝ่ายเดียวต่อศาลว่า การกระทำของจำเลยไม่มีเจตนาที่จะทำการชิงทรัพย์ เพราะเป็นการเข้าใจผิด รู้เท่าไม่ถึงการณ์และจำเลยเป็นนักศึกษาอยู่ผู้เสียหายไม่ติดใจเอาความใดใดกับจำเลยนั้นพอถือได้แต่เพียงว่าเป็นคำแถลงที่ผู้เสียหายไม่ติดใจเอาความกับจำเลยและขอให้ศาลปรานี จำเลยเพื่อประกอบการใช้ดุลพินิจกำหนดโทษเท่านั้น ซึ่งโทษจำคุกที่ศาลชั้นต้นวางไว้และรอการลงโทษให้แก่จำเลยก็เป็นการสมควรแก่พฤติการณ์แห่งคดีและคำแถลงของผู้เสียหายแล้วแต่กรณีก็ไม่อาจถือได้ว่าผู้เสียหายและจำเลยยอมความกันที่ศาลอุทธรณ์สั่งจำหน่ายคดีโดยถือว่าผู้เสียหายและจำเลยยอมความกันนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น