แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยที่ 3 และที่ 4 ตบศรีษะ ผู้เสียหาย แล้วจำเลยที่ 4ใช้อาวุธปืนขู่ผู้เสียหายให้นั่งกับพื้น เมื่อเก็บอาวุธปืนแล้วได้นำ ผู้เสียหายไปขึ้นรถยนต์ จำเลยที่ 3 เป็นคนขับ จำเลยที่ 4 นั่งหน้า จำเลยที่ 1 และที่ 2 นั่งประกบผู้เสียหายซึ่งนั่งกลางที่เบาะหลัง แล้วขับรถไปด้วยกันเมื่อทำร้ายผู้เสียหายจนได้เงินและปล่อย ผู้เสียหายแล้ว จำเลยทั้งสี่ก็หลบหนีไปด้วยกัน ถือได้ว่าจำเลย ทั้งสี่เป็นตัวการร่วมในการปล้นทรัพย์.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสี่มีอาวุธปืนติดตัวและใช้รถยนต์เป็นยานพาหนะได้ร่วมกันปล้นทรัพย์เอาเงินจำนวน 850 บาท ของนายยูซุบ โมฮัมหมัด ผู้เสียหายโดยใช้กำลังทำร้ายร่างกายผู้เสียหายและใช้อาวุธปืนที่ติดตัวไปขู่เข็ญ แล้วใช้รถยนต์เป็นยานพาหนะขับขี่พาทรัพย์นั้นไป ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 340, 340 ตรี, 83 33 และสั่งให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันคืนหรือใช้เงินจำนวน 850 บาท แก่ผู้เสียหาย ริบรถยนต์ของกลาง
จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้น พิพากษาว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสอง 340 ตรี จำเลยที่ 1 อายุ16 ปี ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75ให้จำคุก 9 ปี จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 จำคุกคนละ 18 ปี ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันคืนหรือใช้เงิน 800 บาท แก่ผู้เสียหาย ริบรถยนต์ของกลาง
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสี่ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ที่จำเลยทั้งสี่ฎีกาว่าวันเวลาที่เกิดเหตุจำเลยที่ 3 ที่ 4 จับกุมผู้เสียหายฐานหลบหนีเข้าเมือง นำขึ้นรถยนต์เพื่อไปดำเนินคดีมีจำเลยที่ 1 ที่ 2 ไปด้วยขณะอยู่บนรถผู้เสียหายให้เงิน 800 บาท แก่จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ไม่ทราบเรื่อง เพื่อขอให้ปล่อยผู้เสียหายไป ไม่มีผู้ใดทำร้ายผู้เสียหายเพื่อเอาเงิน จำเลยทั้งสี่จึงไม่มีความผิดฐานปล้นทรัพย์นั้น เห็นว่าจำเลยทั้งสี่เป็นคนตำบลสระกระเทียมอำเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม โดยเฉพาะจำเลยที่ 3 และที่ 4เป็นเจ้าพนักงานตำรวจสายตรวจประจำตู้ยามตำบลสระกระเทียม จำเลยที่ 3เบิกความว่าจับผู้เสียหายข้อหาหลบหนีเข้าเมือง นำขึ้นรถยนต์ไปที่พักสายตาสระกระเทียมเพื่อลงบันทึกประจำวัน แล้วจึงจะนำไปส่งสถานีตำรวจภูธรอำเภอบ้านโป่ง นั้น หากจับผู้เสียหายในข้อหาหลบหนีเข้าเมืองจริงก็น่าจะต้องรับนำผู้เสียหายไปส่งสถานีตำรวจภูธรอำเภอบ้านโป่ง ซึ่งเป็นเจ้าของท้องที่เกิดเหตุทันที ผู้เสียหายเบิกความยืนยันว่าจำเลยทั้งสี่นั่งดื่มสุราด้วยกัน จำเลยที่ 3ที่ 4 ตบศีรษะผู้เสียหาย ผู้เสียหายร้องจำเลยที่ 4 ชักอาวุธปืนจ่อศีรษะให้นั่ง ผู้เสียหายนั่งกับพื้น จำเลยที่ 4 เก็บอาวุธปืนนำผู้เสียหายไปขึ้นรถยนต์ จำเลยที่ 3 เป็นคนขับ จำเลยที่ 4 นั่งหน้าจำเลยที่ 1 และที่ 2 นั่งขนาบผู้เสียหายที่เบาะหลัง ขับรถยนต์ไปทางหนองกระจับ จำเลยที่ 4 ถามว่ามีเงินเท่าไร ผู้เสียหายว่ามี 800 บาทเศษ จำเลยที่ 4 ดึงศีรษะแล้วตบศีรษะผู้เสียหายผู้เสียหายหยิบเงินมีธนบัตรฉบับละ 500 บาท 1 ฉบับ ฉบับละ 100 บาท3 ฉบับ และเศษเหรียญ จำเลยที่ 4 เอาไปเฉพาะธนบัตร 800 บาท ส่วนเศษเหรียญไม่เอา แล้วพูดว่าทีหลังเห็นหน้าจะฆ่า แล้วไปจอดรถให้ผู้เสียหายลงไปนอนคว่ำที่คลองข้างถนนตำบลหนองอ้อ แล้วจำเลยทั้งสี่ก็ขับรถไปทางจังหวัดนครปฐม แม้เหตุการณ์ตอนจำเลยที่ 5บังคับเอาเงินจากผู้เสียหายนี้จะมีเพียงผู้เสียหายปากเดียวเบิกความแต่ก็เบิกความสมเหตุสมผลเป็นขั้นตอนมีรายละเอียดไม่มีเหตุสงสัยว่าจะปั่นแต่งขึ้นเพื่อแกล้งปรักปรำจำเลยทั้งสี่ เมื่อผู้เสียหายกลับไปถึงบ้านนายอุดม แก่นน้อย กำนับตำบลหนองกบท้องที่เกิดเหตุเมื่อนายอุดมกลับมาถึงบ้าน ผู้เสียหายก็เล่าเรื่องถูกปล้นให้ฟังทันที คำเบิกความของผู้เสียหายจึงรับฟังได้ ที่จำเลยทั้งสี่นำสืบว่าเป็นเรื่องที่ผู้เสียหายขอให้ปล่อยตัวโดยยัดเงิน 800 บาท ให้จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ไม่รู้เห็นด้วยนั้น ขัดต่อพฤติการณ์ที่จำเลยทั้งสี่นำตัวผู้เสียหายไปทางหนองกระจับไม่ได้นำตัวไปส่งสถานีตำรวจภูธรอำเภอบ้านโป่งในทันที และขัดกับคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยทั้งสี่ ไม่สามารถหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้คดีฟังได้ว่าจำเลยที่ 4 ทำร้ายบังคับเองเงิน 800 บาท จากผู้เสียหายไปจริง พฤติการณ์ที่จำเลยทั้งสี่มาที่ร้านอาหารสองพี่น้อยโดยรถยนต์คันเดียวกันซึ่งจำเลยที่ 3 เป็นคนขับ จำเลยที่ 3 และที่ 4 ตบศีรษะผู้เสียหาย จำเลยที่ 4 ใช้อาวุธปืนขู่ผู้เสียหายให้นั่งกับพื้นเมื่อเก็บอาวุธปืนแล้วได้นำไปขึ้นรถยนต์ จำเลยที่ 3 เป็นคนขับจำเลยที่ 4 นั่งหน้า จำเลยที่ 1 และที่ 2 นั่งประกบผู้เสียหายซึ่งนั่งกลางที่เบาะหลัง แล้วขับรถไปด้วยกัน เมื่อทำร้ายผู้เสียหายจนได้เงินและปล่อยผู้เสียหายแล้ว จำเลยทั้งสี่ก็หลบหนีไปทางจังหวัดนครปฐมด้วยกัน ถือได้ว่าจำเลยทั้งสี่เป็นตัวการร่วมกันปล้นทรัพย์ผู้เสียหาย จำเลยทั้งสี่จึงมีความผิดตามฟ้อง ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสี่ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยทั้งสี่ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.