แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
ป.พ.พ. มาตรา 1001 บัญญัติให้ฟ้องผู้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินภายในกำหนดเวลาสามปี นับแต่วันที่ตั๋วถึงกำหนด โดยไม่ได้บัญญัติว่าผู้ใดเป็นผู้ฟ้องดังเช่นมาตรา 1002 ที่บัญญัติให้ผู้ทรงตั๋วเงินฟ้องผู้สลักหลังและผู้สั่งจ่าย ดังนั้นการที่โจทก์ในฐานะผู้รับอาวัลจะฟ้องจำเลยให้รับผิดในฐานะผู้ออกตั๋วสัญญาใช้เงิน โจทก์จึงต้องฟ้องภายในกำหนดอายุความตาม มาตรา 1001 มิใช่ภายในอายุความสิบปีตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/30
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 5,740,852.48 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 13.75 ต่อปี ในต้นเงิน 4,300,595 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ประเด็นแรกว่า ฟ้องโจกท์ขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า จำเลยได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินตามฟ้องโดยสัญญาจะจ่ายเงินให้แก่ บริษัทแอสตราโก เอเชียเทรดดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ในวันที่ 21 ตุลาคม 2540 โดยมีโจทก์ซึ่งประกอบกิจการธนาคารพาณิชย์ สาขาวิสุทธิ์กษัตริย์ เป็นผู้รับอาวัลตั๋วสัญญาใช้เงิน และบริษัทแอสตราโก เอเชียเทรดดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ในฐานะผู้ทรงได้นำตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวไปขายลดให้แก่โจทก์ที่สาขาลุมพินี และได้รับเงินไปแล้วเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2537 แต่เมื่อถึงกำหนดใช้เงิน จำเลยไม่ชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินแก่โจทก์ เห็นว่า วันถึงกำหนดใช้เงินของตั๋วสัญญาใช้เงินตามฟ้องคือวันที่ 21 ตุลาคม 2540 และคดีฟ้องผู้ออกตั๋วสัญญาใช้เงิน กฎหมายห้ามมิให้ฟ้องเมื่อพ้นเวลาสามปีนับแต่วันตั๋วนั้นๆ ถึงกำหนดใช้เงิน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1001 เมื่อนับจากวันดังกล่าวจนถึงวันที่โจทก์นำคดีมาฟ้องในวันที่ 25 มิถุนายน 2546 จึงพ้นเวลาสามปีนับแต่วันที่ตั๋วสัญญาใช้เงินถึงกำหนดแล้ว ที่โจทก์อ้างว่าโจทก์เป็นผู้รับอาวัลมีสิทธิฟ้องไล่เบี้ยจำเลยผู้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินได้ภายในอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30 นั้น เห็นว่า ข้อเท็จจริงคดีนี้เป็นเรื่องตั๋วสัญญาใช้เงิน ซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1001 ได้บัญญัติให้ฟ้องผู้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินภายในกำหนดเวลาสามปีนับแต่วันที่ตั๋วถึงกำหนด โดยไม่ได้บัญญัติว่าผู้ใดเป็นเป็นผู้ฟ้องดังเช่นมาตรา 1002 ที่บัญญัติให้ผู้ทรงตั๋วเงินฟ้องผู้สลักหลังและผู้สั่งจ่าย ดังนั้น การที่โจทก์ในฐานะที่ผู้รับอาวัลจะฟ้องจำเลยให้รับผิดในฐานะผู้ออกตั๋วสัญญาใช้เงิน โจทก์จึงต้องฟ้องจำเลยภายในกำหนดอายุความตามมาตรา 1001 เมื่อโจทก์มิได้ฟ้องจำเลยภายในเวลาดังกล่าว ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ… ดังนั้น เมื่อวินิจฉัยว่าคดีโจทก์ขาดอายุความแล้วจึงไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ในประเด็นอื่นอีก จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินและดอกเบี้ยตามฟ้องแก่โจทก์ อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน