แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ป.พ.พ. มาตรา 8ป.รัษฎากร มาตรา 19, 71 (1)ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 285 ลงวันที่ 24 พฤศจิกายน 2515 ข้อ 15
หลังจากที่สมุดบัญชีและเอกสารต่าง ๆ ของโจทก์สูญหายไปแล้ว โจทก์เพียงแต่แจ้งความที่สถานีตำรวจเท่านั้น หาได้แจ้งต่อสำนักงานกลางบัญชีหรือสำนักงานบัญชีให้ชอบด้วยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 285 ลงวันที่ 24 พฤศจิกายน 2515 ข้อ 15 ไม่ ประกอบกับสมุดบัญชีและเอกสารประกอบการลงบัญชีที่เจ้าพนักงานประเมินออกหมายเรียกให้โจทก์นำส่งล้วนแต่เป็นเอกสารสำคัญที่สมควรแก่เรื่องที่เจ้าพนักงานประเมินมีความจำเป็นต้องการตรวจสอบเพื่อประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคลของโจทก์ทั้งสิ้น โจทก์จะอ้างเอาความประมาทเลินเล่อของกรรมการผู้จัดการของโจทก์เองที่ทำให้สมุดบัญชีและเอกสารดังกล่าวสูญหายไป ซึ่งมิใช่เหตุสุดวิสัยมาเป็นข้อยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามหมายเรียกของเจ้าพนักงานประเมินหาได้ไม่ ดังนั้น เมื่อโจทก์ไม่นำสมุดบัญชีและเอกสารประกอบการลงบัญชีตามหมายเรียกมาให้เจ้าพนักงานประเมินทำการตรวจสอบตามประมวลรัษฎากร มาตรา 19 เจ้าพนักงาน-ประเมินมีอำนาจประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคลของโจทก์ปี 2518 ในอัตราร้อยละ 2 ของยอดรายรับก่อนหักรายจ่ายใด ๆ หรือยอดขายก่อนหักรายจ่ายใด ๆ ของรอบระยะเวลาบัญชีปีดังกล่าวแล้วแต่อย่างใดจะมากกว่าได้ตามมาตรา 71 (1) แห่งประมวลรัษฎากรที่ใช้บังคับในขณะนั้น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อปี ๒๕๒๐ เจ้าพนักงานกองทะเบียนคนต่างด้าวและภาษีอากรกรมตำรวจ ได้นำสมุดบัญชีพร้อมเอกสารต่าง ๆ ซึ่งเป็นหลักฐานในการลงบัญชีประจำปี ๒๕๑๘ และ๒๕๑๙ ของโจทก์ไปตรวจสอบ ผลการตรวจสอบพบว่าในรอบระยะเวลาบัญชีปี ๒๕๑๘ โจทก์ลงบัญชีไม่ครบถ้วน ยอดรายได้ที่ต้องนำมาคำนวณกำไรสุทธิต่ำไปเป็นเงิน ๙๕,๘๖๑ บาท โจทก์ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มอีก ๑๙,๑๗๒.๒๐ บาท โจทก์ได้นำเงินจำนวนดังกล่าวไปชำระต่อจำเลยที่ ๑แล้ว กองทะเบียนคนต่างด้าวและภาษีอากรคืนสมุดบัญชีและเอกสารต่าง ๆ ที่นำไปตรวจสอบแก่โจทก์ผู้แทนโจทก์รับแล้วหลงลืมไว้ในรถแท็กซี่บางส่วน เป็นเหตุให้สูญหายไป ผู้แทนโจทก์ได้แจ้งความไว้ที่สถานีตำรวจนครบาลจักรวรรดิ์ ต่อมาเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ ๑ ออกหมายเรียกให้โจทก์นำบัญชีและเอกสารประกอบการลงบัญชีของรอบระยะเวลาบัญชีปี ๒๕๑๘, ๒๕๑๙ และ ๒๕๒๐ ไปให้ตรวจสอบและประเมินให้โจทก์ชำระภาษีเงินได้นิติบุคคลรอบระยะเวลาบัญชีปี ๒๕๒๘ เพิ่มอีก๒๕๒,๗๗๑.๙๗ บาท โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา ๗๑ (๑) แห่งประมวลรัษฎากร โจทก์ไม่เห็นพ้องด้วยจึงยื่นอุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ คือจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ ว่า โจทก์มิได้บิดพลิ้วหรือหลีกเลี่ยงไม่นำบัญชีและเอกสารประกอบการลงบัญชีไปให้ตรวจสอบ แต่เพราะเอกสารบางรายการสูญหายไปก่อน และบัญชีเหล่านั้นผ่านการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่กองทะเบียนคนต่างด้าวและภาษีอากรมาแล้ว อีกทั้งยังสามารถใช้วิธีวิเคราะห์ข้อมูลได้อีก การประเมินภาษีโดยอาศัยมาตรา ๗๑ (๑)ไม่ถูกต้อง คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยว่าการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินถูกต้อง ยกอุทธรณ์โจทก์ ขอให้เพิกถอนคำสั่งของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์
จำเลยทั้งสี่ให้การว่า การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ชอบแล้ว เพราะโจทก์จงใจไม่ปฏิบัติตามหมายเรียกและเป็นการไม่นำบัญชีไปให้เจ้าพนักงานประเมินทำการไต่สวนตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๑๙ เป็นเหตุให้เจ้าพนักงานประเมินไม่อาจทราบรายละเอียดกำไรขาดทุนเพื่อใช้คิดคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลได้เจ้าพนักงานประเมินทราบแต่เพียงว่าโจทก์มียอดขายสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี ๒๕๑๘ เป็นเงิน๑๖,๕๖๑,๔๙๐ บาท เจ้าพนักงานประเมินจึงมีอำนาจตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๗๑ (๑) ทำการประเมินภาษีในอัตราร้อยละ ๒ ของยอดขายก่อนหักรายจ่ายใด ๆ และข้ออ้างของโจทก์ที่ว่าหลงลืมสมุดเอกสารไว้ในรถแท็กซี่เป็นเหตุให้สูญหายไป จะนำมาเป็นข้อยกเว้นให้โจทก์ไม่ต้องส่งบัญชีและเอกสารไม่ได้ และโจทก์ไม่แจ้งเรื่องบัญชีสูญหายต่อสำนักงานกลางบัญชี หรือสำนักงานบัญชีภายใน๑๕ วัน เป็นการฝ่าฝืนประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๘๕ ลงวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๑๕ ข้อ ๑๕มีความผิดตามข้อ ๒๓ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยในชั้นนี้มีว่า โจทก์จะอ้างเอาความประมาทเลินเล่อของโจทก์มาเป็นเหตุยกเว้นไม่ต้องส่งสมุดบัญชีและเอกสารประกอบการลงบัญชีตามหมายเรียกที่เจ้าพนักงานประเมินออกตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๑๙ ประกอบมาตรา ๗๑ (๑) ได้หรือไม่และสมุดบัญชีและเอกสารตามหมายเรียกนั้นเป็นเอกสารอันควรแก่เรื่องที่จะต้องตรวจสอบด้วยหรือไม่
ศาลฎีกาเห็นว่า หลังจากที่สมุดบัญชีและเอกสารต่าง ๆ ของโจทก์สูญหายไปแล้วโจทก์เพียงแต่แจ้งความที่สถานีตำรวจนครบาลจักรวรรดิ์เท่านั้น หาได้แจ้งต่อสำนักงานกลางบัญชีหรือสำนักงานบัญชีให้ชอบด้วยประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๒๘๕ ลงวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๑๕ ข้อ ๑๕ ไม่ประกอบกับสมุดบัญชีและเอกสารประกอบการลงบัญชีที่เจ้าพนักงานประเมินออกหมายเรียกให้โจทก์นำส่งนั้น ก็ล้วนแต่เป็นเอกสารสำคัญที่สมควรแก่เรื่องที่เจ้าพนักงานประเมินมีความจำเป็นต้องตรวจสอบเพื่อประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคลของโจทก์ในปี ๒๕๑๘ ทั้งสิ้น โจทก์จะอ้างเอาความประมาทเลินเล่อของกรรมการผู้จัดการของโจทก์เองที่ทำให้สมุดบัญชีและเอกสารดังกล่าวสูญหายไปซึ่งมิใช่เหตุสุดวิสัยมาเป็นข้อยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามหมายเรียกของเจ้าพนักงานประเมินหาได้ไม่ ดังนั้น เมื่อโจทก์ไม่นำสมุดบัญชีและเอกสารประกอบการลงบัญชีตามหมายเรียกมาให้เจ้าพนักงานประเมินทำการตรวจสอบตามมาตรา ๑๙ เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคลของโจทก์ปี ๒๕๑๘ ในอัตราร้อยละ ๒ ของยอดรายรับก่อนหักรายจ่ายใด ๆ หรือยอดขายก่อนหักรายจ่ายใด ๆ ของรอบระยะเวลาบัญชีปีดังกล่าวแล้วแต่อย่างใดจะมากกว่าได้ตามมาตรา ๗๑ (๑) แห่งประมวลรัษฎากรที่ใช้บังคับในขณะนั้น การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ ๑ และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ ซึ่งเป็นคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ชอบแล้ว
พิพากษายืน.