แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
พ.ร.ฏ.ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นทางค้าหรือหากำไร (ฉบับที่ 244) พ.ศ.2534 มีผลใช้บังคับอยู่ในขณะที่โจทก์ขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่นาย พ. จึงต้องนำพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวมาใช้บังคับกับกรณีของโจทก์ เมื่อโจทก์ขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างไปภายใน 5 ปี นับแต่วันที่ได้มา และกรณีของโจทก์ไม่เข้าข้อยกเว้นว่าโจทก์ใช้เป็นสถานที่อยู่อาศัยอันเป็นแหล่งสำคัญที่โจทก์มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎรและได้อาศัยเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 1 ปี จึงต้องถือว่าโจทก์ขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าหรือหากำไรตาม มาตรา 3 (6) แห่งพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว โจทก์จึงต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะตาม ป.รัษฎรกร มาตรา 91/2(6)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินภาษีธุรกิจเฉพาะเบี้ยปรับและเงินเพิ่มตามหนังสือแจ้งการประเมิน ภาษีธุรกิจเฉพาะ (ภ.ธ.73.1) เลขที่ ก. 16.2/1005290/6/100268 ลงวันที่ 18 กรกฎาคม 2545 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ เลขที่ สภ. 1 (อธ.2)/2545/234 ลงวันที่ 22 ตุลาคม 2545 หรือพิจารณางดหรือลดเบี้ยปรับ และเงินเพิ่มให้แก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลย โดยกำหนด ค่าทนายความให้ 4,000 บาท
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันฟังยุติได้ว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 42378 พร้อมสิ่งปลูกสร้างบ้านเลขที่ 2/116 แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร โดยซื้อมาเมื่อปี 2533 ต่อมาโจทก์ทำนิติกรรมขายที่ดินพร้อมบ้านดังกล่าวไปในปี 2536 เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยจึงแจ้งการประเมินให้โจทก์ทราบว่าโจทก์ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะจากการทำนิติกรรมขายที่ดินพร้อมบ้านดังกล่าว โจทก์รับว่าโจทก์ไม่มีชื่อในทะเบียนบ้านเลขที่ 2/116 แต่โจทก์และครอบครัวอาศัยอยู่ในบ้านดังกล่าวตั้งแต่วันที่ซื้อมาโดยมีใบเสร็จรับเงินการชำระค่าน้ำประปาค่าไฟฟ้า และมีหลักฐานการเข้าเรียนของบุตรที่โรงเรียนใกล้บ้านมาแสดง
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ประการแรกมีว่า โจทก์ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะจากการขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างครั้งนี้หรือไม่ เห็นว่า พระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นทางค้าหรือหากำไร (ฉบับที่ 244) พ.ศ. 2534 มีผลใช้บังคับอยู่ในขณะที่โจทก์ขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่นายไพโรจน์ จึงต้องนำพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวมาใช้บังคับแก่กรณีของโจทก์ และกรณีที่โจทก์โอนที่ดินให้แก่นายไพโรจน์นั้นโจทก์ไม่ได้นำสืบให้เห็นถึงพฤติการณ์ที่แสดงให้เห็นได้แน่ชัดว่ามิได้เป็นการขายในทางค้าหรือหากำไร ทั้งยังปรากฏว่าโจทก์ขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างไปภายใน 5 ปี นับแต่วันที่ได้มา และไม่เข้าข้อยกเว้นว่าโจทก์ใช้เป็นสถานที่อยู่อาศัยอันเป็นแหล่งสำคัญที่โจทก์มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎรและได้อาศัยเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 1 ปี จึงถือว่าโจทก์ขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าหรือหากำไร จึงต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะตามมาตรา 91/2 (6) แห่งประมวลรัษฎากรและมาตรา 3 (6) แห่งพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น…
พิพากษายืน ให้โจทก์ใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 1,000 บาท แทนจำเลย