คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3587/2550

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

จำเลยอุทธรณ์ว่า โจทก์ยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่มเพิ่มเติมพร้อมขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มเมื่อพ้นกำหนดวันที่ 15 ของเดือนถัดจากเดือนภาษีที่ขอคืนตาม ป.รัษฎากร มาตรา 83 จึงไม่มีสิทธิได้รับดอกเบี้ยตามกฎกระทรวงฉบับที่ 161 (พ.ศ.2526) ออกตามความใน ป.รัษฎากร ว่าด้วยการให้ดอกเบี้ยแก่ผู้ได้รับคืนเงินภาษีอากร ข้อ 2 นั้น เห็นว่า กฎกระทรวงดังกล่าว ข้อ 2 วรรคหนึ่งระบุว่า “การคิดดอกเบี้ยตามข้อ 1 จะคิดให้ต่อเมื่อได้มีการยื่นแบบแสดงรายการหรือคำร้องขอคืนเงินภาษีอากรภายในเวลาที่กฎหมายกำหนดหรือภายในเวลาที่ได้รับการขยายหรือเลื่อนให้” กรณีของโจทก์ปรากฏว่าโจทก์ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่มครั้งแรกภายในกำหนดเวลาตามกฎหมายแล้ว ต่อมาโจทก์ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่มเพิ่มเติมพร้อมขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มตามสิทธิของโจทก์ที่บัญญัติไว้ใน ป.รัษฎากร มาตรา 84 ซึ่งการยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่มเพิ่มเติมนี้กฎหมายมิได้กำหนดกรอบเวลาไว้ เมื่อโจทก์ยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่มเพิ่มเติมดังกล่าวภายใน 3 ปี นับแต่วันพ้นกำหนดเวลายื่นแบบแสดงรายการภาษีสำหรับเดือนภาษีนั้นตามมาตรา 84/1 (1) จึงถือว่าโจทก์ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่มเพื่อขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มภายในเวลาที่กฎหมายกำหนดตามกฎกระทรวงดังกล่าวแล้ว โจทก์จึงมีสิทธิได้รับดอกเบี้ยในภาษีมูลค่าเพิ่มที่ขอคืนข้ออุทธรณ์ของจำเลยที่ว่า โจทก์จะต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่มเพิ่มเติมภายในกำหนดเวลาตาม ป.รัษฎากร มาตรา 83 ด้วย จึงจะมีสิทธิได้รับดอกเบี้ยนั้นเป็นการขยายความกฎหมายให้เป็นผลร้ายแก่ผู้เสียภาษีอากรซึ่งไม่ชอบ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จดทะเบียนเป็นผู้ประกอบการในระบบภาษีมูลค่าเพิ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2535 เมื่อปี 2539 และปี 2542 โจทก์ยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ. 30) เพิ่มเติมสำหรับเดือนภาษีมกราคม พฤษภาคม สิงหาคม กันยายน ธันวาคม 2538 และเดือนภาษีมกราคมถึงธันวาคม 2540 เนื่องจากยอดซื้อและภาษีซื้อที่โจทก์แสดงไว้ในแบบแสดงรายการของเดือนภาษีดังกล่าวที่ยื่นต่อจำเลยไว้เดิมมีจำนวนต่ำเกินไป ในการยื่นแบบแสดงรายการเพิ่มเติมดังกล่าว โจทก์มีสิทธิได้รับคืนเงินภาษีจากจำเลย โจทก์จึงระบุขอคืนภาษีเป็นเงินสดในแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่มที่โจทก์ยื่นเพิ่มเติมไว้ เมื่อโจทก์ยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ. 30) เพิ่มเติมแล้ว ต่อมาเจ้าพนักงานของจำเลยแจ้งให้โจทก์นำส่งเอกสารเพื่อประกอบการพิจารณาเพิ่มเติมอีกหลายครั้ง และโจทก์ได้ส่งมอบให้แก่เจ้าพนักงานของจำเลยทุกครั้ง เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2546 เจ้าพนักงานของจำเลยมีหนังสือแจ้งคืนเงินภาษีมูลค่าเพิ่ม 18,842,387.39 บาท และดอกเบี้ย 753,695.48 บาท เนื่องจากเจ้าพนักงานของจำเลยพิจารณาให้ดอกเบี้ยเพียงบางส่วนแก่โจทก์ โจทก์จึงมีหนังสือลงวันที่ 22 กรกฎาคม 2546 ขอรับดอกเบี้ยตามกฎหมายจากจำเลยในส่วนที่จำเลยไม่พิจารณาให้ ต่อมาเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2546 เจ้าพนักงานของจำเลยกลับมีหนังสือมายังโจทก์รวม 17 ฉบับ ให้โจทก์นำส่งดอกเบี้ยจำนวน 753,695.48 บาท ที่พิจารณาให้แก่โจทก์มาตั้งแต่ต้นคืน โดยกล่าวอ้างว่าการแจ้งคืนดอกเบี้ยตามหนังสือแจ้งคืนเงินภาษีอากร 17 ฉบับ นั้น เป็นการแจ้งคืนผิดพลาด การยื่นแบบ ภ.พ. 30 ฉบับเพิ่มเติมเกินกำหนดระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด จึงไม่มีสิทธิได้รับดอกเบี้ย โจทก์เห็นว่าการพิจารณาของเจ้าพนักงานของจำเลยที่ให้ดอกเบี้ยแก่โจทก์ 753,695.48 บาท ตามหนังสือแจ้งคืนเงินภาษีอากร (ดอกเบี้ย) 17 ฉบับ และการพิจารณาของเจ้าพนักงานที่ให้โจทก์ต้องนำส่งดอกเบี้ยคืน 753,695.48 บาท ตามหนังสือแจ้งการสั่งคืนเงินภาษีอากรผิดพลาด 17 ฉบับ นั้น ไม่ถูกต้อง โจทก์มีสิทธิได้รับดอกเบี้ยจากภาษีที่โจทก์ได้รับคืน การที่เจ้าพนักงานของจำเลยไม่ชำระดอกเบี้ยให้โจทก์ตามกฎหมายทั้งยังมีหนังสือแจ้งให้โจทก์นำส่งดอกเบี้ยจำนวน 753,695.48 บาท คืนจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์มีสิทธิได้รับดอกเบี้ยทั้งสิ้น 8,906,785.61 บาท จำเลยชำระดอกเบี้ยให้โจทก์แล้ว 753,695.48 บาท จึงยังขาดอยู่อีก 8,153,090.13 บาท ขอให้เพิกถอนหนังสือแจ้งการสั่งคืนเงินภาษีอากรผิดพลาดเลขที่ กค 0710.01/6.3/4488 – 4504 ลงวันที่ 5 กันยายน 2546 จำนวน 17 ฉบับ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 753,695.48 บาท ให้จำเลยชำระเงินค่าดอกเบี้ยอีก 8,153,090.13 บาท แก่โจทก์
จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้จำเลยชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์อีก 4,118,842 บาท คำขอนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยมีว่า โจทก์มีสิทธิได้รับดอกเบี้ยในภาษีมูลค่าเพิ่มที่ขอคืนหรือไม่ ที่จำเลยอุทธรณ์ว่า โจทก์ยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่มเพิ่มเติมพร้อมขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มเมื่อพ้นกำหนดวันที่ 15 ของเดือนถัดจากเดือนภาษีที่ขอคืนตามประมวลรัษฎากร มาตรา 83 จึงไม่มีสิทธิได้รับดอกเบี้ยตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 161 (พ.ศ.2526) ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการให้ดอกเบี้ยแก่ผู้ได้รับคืนเงินภาษีอากร ข้อ 2 นั้น เห็นว่า ตามกฎกระทรวงดังกล่าว ข้อ 2 วรรคหนึ่ง ระบุว่า “การคิดดอกเบี้ยตามข้อ 1 จะคิดให้ต่อเมื่อได้มีการยื่นแบบแสดงรายการหรือคำร้องขอคืนเงินภาษีอากรภายในเวลาที่กฎหมายกำหนดหรือภายในเวลาที่ได้รับการขยายหรือเลื่อนให้” กรณีของโจทก์ปรากฏว่าโจทก์ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่มครั้งแรกภายในกำหนดเวลาตามกฎหมายแล้ว ต่อมาโจทก์ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่มเพิ่มเติมพร้อมขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มตามสิทธิของโจทก์ที่บัญญัติไว้ในประมวลรัษฎากร มาตรา 84 ซึ่งการยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่มเพิ่มเติมนี้กฎหมายมิได้กำหนดกรอบเวลาไว้ เมื่อโจทก์ยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่มเพิ่มเติมดังกล่าวภายใน 3 ปี นับแต่วันพ้นกำหนดเวลายื่นแบบแสดงรายการภาษีสำหรับเดือนภาษีนั้นตามมาตรา 84/4 (1) จึงถือว่าโจทก์ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่มเพื่อขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มภายในเวลาที่กฎหมายกำหนดตามกฎกระทรวงดังกล่าวแล้ว โจทก์จึงมีสิทธิได้รับดอกเบี้ยในภาษีมูลค่าเพิ่มที่ขอคืน ข้ออุทธรณ์ของจำเลยที่ว่า โจทก์จะต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่มเพิ่มเติมภายในกำหนดเวลาตามประมวลรัษฎากร มาตรา 83 ด้วย จึงจะมีสิทธิได้รับดอกเบี้ยนั้น เป็นการขยายความกฎหมายให้เป็นผลร้ายแก่ผู้เสียภาษีอากรซึ่งไม่ชอบ ที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษามานั้นชอบแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น แต่ที่โจทก์มีคำขอให้เพิกถอนหนังสือแจ้งสั่งการคืนเงินภาษีอากรผิดพลาดและศาลภาษีอากรกลางยกคำขอนั้น ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรเห็นควรให้เพิกถอนหนังสือแจ้งสั่งการคืนเงินภาษีอากรผิดพลาดด้วย”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิกถอนหนังสือแจ้งการสั่งคืนเงินภาษีอากรผิดพลาดเลขที่ กค 0710.01/6.3/4488 – 4504 ลงวันที่ 5 กันยายน 2546 เสียด้วยนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลภาษีอากรกลาง

Share