แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้จะไม่ได้ความชัดว่าหากไม่มีการเลิกสัญญากันโจทก์จะได้กำไรจากการขายอาคารพาณิชย์ที่โจทก์จ้างจำเลยก่อสร้างเป็นจำนวนเท่าใด แต่เป็นที่เห็นได้ว่าโจทก์ก่อสร้างศูนย์การค้าเพื่อหากำไร เมื่อสร้างไม่เสร็จก็ย่อมเกิดผลเสียหาย ซึ่งเป็นความเสียหายที่ตามปกติย่อมเกิดขึ้นจากการละทิ้งงานของจำเลย ศาลย่อมมีอำนาจกำหนดให้ตามที่เห็นสมควรได้
แม้ว่าคู่ความฝ่ายใดชนะคดีเต็มตามข้อหาหรือแต่บางส่วนศาลก็มีอำนาจใช้ดุลพินิจให้คู่ความที่ชนะคดีเสียค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 161 ดังนั้น การที่ศาลอุทธรณ์ให้จำเลยซึ่งแพ้คดีเพียงบางส่วนรับผิดชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งหมดจึงไม่เป็นการฝ่าฝืนกฎหมายแต่อย่างใด
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองได้รับจ้างเหมาก่อสร้างอาคารพาณิชย์ที่ศูนย์การค้าของโจทก์ จำเลยก่อสร้างอาคารไม่เสร็จตามสัญญา กลับละทิ้งงานก่อสร้างไป ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองใช้ค่าเสียหายและดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา และไม่ได้เสียหายมากตามที่ฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 200,000บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์และใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเชื่อว่าได้มีผู้ตกลงซื้ออาคารพาณิชย์ที่โจทก์จ้างจำเลยทำการก่อสร้างจริง ถึงแม้จะไม่ได้ความชัดว่าหากไม่มีการเลิกสัญญากันโจทก์จะได้ผลกำไรจากการขายอาคารพาณิชย์ทั้ง 21 ห้องครึ่งเป็นจำนวนเท่าใด แต่ก็เป็นที่เห็นได้ว่าโจทก์ก่อสร้างศูนย์การค้าเพื่อขายหากำไร เมื่อสร้างไม่เสร็จย่อมเกิดผลเสียหายซึ่งเป็นความเสียหายที่ตามปกติย่อมเกิดขึ้นจากการละทิ้งงานของจำเลยศาลย่อมมีอำนาจกำหนดให้ตามที่เห็นสมควรได้ ได้ความจากนายสุรินทร์พยานโจทก์ว่าราคาขายอาคารพาณิชย์ห้องละ 480,000 บาทนั้นรวมทั้งที่ดินด้วย ทั้งไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้จ้างผู้อื่นก่อสร้างต่อต้องเสียค่าจ้างเพิ่มขึ้นเพียงใดที่ศาลอุทธรณ์กำหนดค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์ 200,000 บาทตามที่เรียกร้องเห็นว่าสูงเกินส่วน สมควรกำหนดให้ 120,000 บาท
ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่าศาลอุทธรณ์ให้จำเลยรับผิดใช้ค่าขึ้นศาลแทนโจทก์เต็มตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ฟ้องโดยโจทก์ชนะคดีไม่เต็มตามฟ้องไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทั้งกำหนดค่าทนายให้สูงเกินไปนั้น เห็นว่า แม้คู่ความฝ่ายใดจะชนะคดีไม่ว่าเต็มตามข้อหาหรือบางส่วน ศาลก็มีอำนาจใช้ดุลพินิจให้คู่ความที่ชนะคดีเสียค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 161 ดังนั้น การที่ศาลอุทธรณ์ให้จำเลยรับผิดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งหมดจึงไม่เป็นการฝ่าฝืนกฎหมายแต่อย่างใดค่าทนายที่ศาลอุทธรณ์กำหนดก็ประมาณร้อยละ 1 ของทุนทรัพย์เป็นการเหมาะสมแล้ว
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์120,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนถึงวันชำระเสร็จ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์